Topic
องค์กรได้อะไรจาก ISSB ? กรอบบริหารเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
โดย ดร. ปฏิมา สินธุภิญโญ
รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาอย่างยั่งยืน
บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย และสมาชิก SET ESG Experts Pool *
*บทความนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง SET ESG Experts Pool และ SET ESG Academy ในการนำเสนอประเด็น ESG ที่ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจและการลงทุนของไทย
มาตรฐาน ISSB คืออะไร และทำไมต้องสนใจ?
ในเดือนมิถุนายน 2023 ภามาตรฐานความยั่งยืนระหว่างประเทศ (ISSB) ภายใต้ IFRS Foundation ได้เปิดตัวมาตรฐานการรายงานด้านความยั่งยืนสองฉบับ ได้แก่ IFRS S1 ที่เน้นการเปิดเผยความเสี่ยงและโอกาสในมิติความยั่งยืน และ IFRS S2 ที่มุ่งเน้นเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มาตรฐานเหล่านี้มีผลบังคับใช้กับงบการเงินที่เริ่มตั้งแต่ 1 มกราคม 2024 เป็นต้นไป ขณะนี้หลายประเทศทั่วโลก เช่น สหราชอาณาจักร แคนาดา ออสเตรเลีย และประเทศในเอเชียอย่างฮ่องกง สิงคโปร์ และมาเลเซีย อยู่ในระหว่างการนำไปบังคับใช้ โดยล่าสุด สิงคโปร์ได้ประกาศให้บริษัทจดทะเบียนทุกแห่งต้องรายงานตาม ISSB ในปีงบประมาณ 2025 แล้ว และมาเลเซียได้เริ่มทยอยบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2025 สำหรับประเทศไทย มีแผนจะบังคับใช้กับบริษัทจดทะเบียนในกลุ่ม SET50 ตั้งแต่ปี 2026
ประเด็นที่น่าสนใจคือ มาตรฐาน ISSB ไม่ได้เป็นเพียง “ข้อบังคับในการเปิดเผยข้อมูลหรือจัดทำรายงาน” แต่คือ กรอบบริหารจัดการองค์กรแบบใหม่ ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วในทุกช่วงเวลา ตั้งแต่ระยะสั้น กลาง ไปจนถึงระยะยาว การนำ ISSB มาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด จึงไม่ใช่แค่เพื่อเปิดเผยข้อมูลและรายงานให้ครบถ้วน แต่อยู่ที่การใช้เป็นแนวทางการพัฒนาโครงสร้างองค์กรและกลยุทธ์ที่รองรับโลกที่เปลี่ยนเร็ว
ISSB ช่วยองค์กรได้อย่างไร?
- Sensing Risks — เสริมเครื่องมือรับรู้และจัดการความเสี่ยง
ISSB ให้กรอบและเครื่องมือที่มีโครงสร้างชัดเจน เช่น กระบวนการ “ระบุ–ประเมิน–จัดลำดับความสำคัญ–ติดตาม” ความเสี่ยงและโอกาส ทำให้ภาคธุรกิจสามารถรับรู้สัญญาณเตือนล่วงหน้าและออกแบบกลไกตอบสนองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลคือองค์กรจะมีภูมิต้านทานต่อการเปลี่ยนแปลงเชิงธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นด้านกฎหมาย เทคโนโลยี ตลาด หรือแม้กระทั่งการเปลี่ยนแปลงที่มาจากธรรมชาติ เช่น ภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้น เป็นต้น การนำ ISSB มาใช้อย่างถูกต้องจะทำให้มีกระบวนการตัดสินใจบนพื้นฐานข้อมูลเชิงลึก ซึ่งช่วยให้สามารถบริหารจัดการทรัพยากรขององค์กรได้อย่างคุ้มค่าและสร้างความยั่งยืนในระยะยาว
- Seizing Opportunities — สร้างโอกาสเชิงกลยุทธ์
นอกจากควบคุมความเสี่ยงแล้ว ISSB ยังผลักดันให้องค์กรใช้การรายงานด้านความยั่งยืนเพื่อค้นหาโอกาสที่สอดคล้องกับกลยุทธ์หลัก เช่น การนำ “Materiality Assessment” มาช่วยเลือกประเด็น ESG ที่มีผลต่อธุรกิจ (Prioritization) และใช้ “Scenario Analysis” เพื่อจำลองภาพอนาคตในมิติต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นราคาวัตถุดิบ สถานการณ์พลังงาน หรือนโยบายสิ่งแวดล้อม เมื่อธุรกิจสามารถฝังกระบวนการเหล่านี้ไว้ในการออกแบบแผนงานและกลยุทธ์ ISSB จะกลายเป็น “เครื่องมือทางธุรกิจ” ที่ช่วยขยายตลาด ลดต้นทุน และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจควบคู่กับผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
มุมมองจาก SCG: เตรียมพร้อมก่อนใคร ได้ประโยชน์จริง
SCG เป็นหนึ่งในองค์กรที่ไม่ได้รอให้กฎหมายบังคับ แต่เริ่มนำกรอบ ISSB มาปรับใช้ก่อน โดยปรับเปลี่ยนองค์กรใน 4 มิติหลัก
𖧋 Governance — การกำกับดูแลที่ดีอยู่ในทุกการตัดสินใจของธุรกิจ
คณะกรรมการบริษัทมีบทบาทที่ชัดเจนในการเป็นผู้นำขับเคลื่อนนโยบายความยั่งยืน สอดคล้องกับข้อกำหนดของ ISSB และ IOSCO โดยในปี 2024 SCG ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนเพื่อกำกับดูแล กำหนดทิศทาง นโยบายและกลยุทธ์ในการดำเนินงานตามแผน SCG Net Zero Roadmap นอกจากนี้ ยังมีระบบข้อมูลที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นไปตามมาตรฐานสากล ซึ่งถือเป็นแรงขับเคลื่อนองค์กรไปสู่ Net Zero และสร้างโครงสร้างการกำกับดูแลที่เข้มแข็ง
𖧋 Strategy — กลยุทธ์เชิงลึก ใช้ฐานข้อมูลก้าวหน้าเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ Net Zero
SCG นำเครื่องมือ Materiality Assessment และ Scenario Analysis มาใช้อย่างจริงจังเพื่อทบทวนและปรับแผนกลยุทธ์ ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ พลังงานสะอาด และนวัตกรรมสีเขียว ตัวอย่างเช่น การพัฒนาปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ (Low-Carbon Cement) การลงทุนในระบบรีไซเคิลเพื่อเปลี่ยนวัสดุเหลือทิ้งเป็นพลังงาน และการพัฒนานวัตกรรมด้านพลังงานสะอาด เป็นต้น การจะบรรลุเป้าหมาย Net Zero 2050 นั้นเต็มไปด้วยความท้าทาย SCG จึงใช้หลักการดำเนินงานแบบค่อยเป็นค่อยไป (step-by-step) เพื่อให้มั่นใจว่าทุกการลงทุนจะสร้างผลตอบแทนที่ดีทั้งด้านการเงินและการลดคาร์บอน
𖧋 Risk Management — เชื่อมระบบความเสี่ยง ESG ทุกระดับ
SCG พัฒนากรอบการบริหารความเสี่ยงแบบบูรณาการ (ESG-integrated risk framework) ที่เชื่อมโยงตั้งแต่ระดับคณะกรรมการไปจนถึงฝ่ายปฏิบัติการ โดยใช้ข้อมูลจากทั้งภายในและภายนอก เช่น World Economic Forum และ World Business Council for Sustainable Development (WBCSD) เป็นต้น รวมถึงเครือข่ายองค์กรในประเทศ เพื่อประเมินแนวโน้มความเสี่ยงอย่างครอบคลุม ตัวอย่างเช่น การบริหารความเสี่ยงด้านภัยแล้ง บริษัทได้ร่วมมือกับหน่วยงานในพื้นที่ เช่น สถาบันน้ำเพื่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน EEC เป็นต้น และหน่วยงานราชการ เพื่อวางแผนจัดการน้ำและเตรียมระบบสำรอง
𖧋 Targets & Metrics — วัดผลเชิงตัวเลข โปร่งใส ตรวจสอบได้
SCG ใช้ข้อมูลจากการประเมินประเด็นสำคัญ (Materiality) เป็นฐานในการตั้งเป้าหมายและตัวชี้วัด เช่น ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก Scope 1–2 ให้ได้ 25% ภายในปี 2030 และลด Scope 3 ให้ได้ 25% ภายในปี 2031 เป็นต้น นอกจากนี้ยังนำมาตรฐาน SASB ซึ่งเป็นมาตรฐานรายอุตสาหกรรมมาใช้ เพื่อให้ข้อมูลที่รายงานมีความเฉพาะเจาะจงและนำไปใช้ได้จริง การใช้ระบบดิจิทัลยังเข้ามาช่วยรองรับการเก็บข้อมูล การตรวจสอบ และการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในสายตาผู้ลงทุนและสถาบันการเงิน
เครื่องมือสำคัญในการวางแผนกลยุทธ์
- Materiality Assessment:
SCG ใช้แนวคิด Double and Dynamic Materiality โดยพิจารณาทั้งผลกระทบจากปัจจัยภายนอกที่มีต่อธุรกิจ (Financial Materiality) และผลกระทบจากธุรกิจที่มีต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม (Impact Materiality) เพื่อให้เห็นภาพความเสี่ยงและโอกาสอย่างรอบด้าน - Scenario Analysis:
SCG วางแผนธุรกิจโดยใช้การวิเคราะห์สถานการณ์จำลอง เพื่อตั้งสมมติฐานที่เกี่ยวข้องกับราคาวัตถุดิบ พลังงาน และราคาคาร์บอนในแต่ละสถานการณ์ ซึ่งนำไปสู่การวางกลยุทธ์ที่มีความยืดหยุ่นและสร้างความมั่นใจในทุกการลงทุน
บทสรุป
ถึงแม้การนำ ISSB มาใช้จะมีความท้าทาย แต่การก้าวข้ามความท้าทายด้วยการจัดตั้งทีมที่เชื่อมทุกฝ่ายเข้าด้วยกัน (cross-functional) และดำเนินงานแบบค่อยเป็นค่อยไป จะทำให้การเปิดเผยข้อมูลตามมาตรฐาน ISSB มีคุณภาพ และสร้างความเข้าใจกับผู้ลงทุนเกี่ยวกับความเสี่ยงและโอกาสที่เชื่อมโยงกับการเงินของบริษัทได้