Topic
CG Today: “กรรมการบริษัท” รับผิด “หนี้ภาษีสรรพากร” หลังซื้อขายกิจการ
![]()
กรรมการบริษัทเป็น “ผู้แทนนิติบุคคล” ในการทำนิติกรรมสัญญาผูกพันบริษัท กรรมการย่อมมีความรับผิดชอบต่อบริษัทและผู้ถือหุ้น เมื่อบริษัทมีหน้าที่เสีย “ภาษีเงินได้นิติบุคคล” กรรมการบริษัทจึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายภาษีด้วยเช่นกัน เมื่อบริษัทเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นอันเนื่องจากการซื้อขายกิจการ (M&A) ภายใต้ “สัญญาซื้อขายหุ้น” ผู้ถือหุ้นใหม่แต่งตั้งกรรมการบริษัทชุดใหม่ทำหน้าที่ผู้แทนนิติบุคคล บริษัทยังคงมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นหรือกรรมการบริษัท
หลังจากการซื้อขายกิจการ “กรรมการบริษัทชุดใหม่” ที่ได้รับการแต่งตั้งจากผู้ถือหุ้นใหม่ ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดทางภาษีตาม “กฎหมายภาษี” ได้ แม้ว่าผู้ถือหุ้นเดิม (ผู้ขาย) และ ผู้ถือหุ้นใหม่ (ผู้ซื้อ) จะมี “สัญญาซื้อขายหุ้น” ที่กำหนดเงื่อนไขให้ผู้ถือหุ้นเดิมต้องรับผิดชอบหนี้สินก่อนการซื้อขายกิจการ เพราะ “กฎหมาย” มีอำนาจบังคับตามกฎหมายสูงกว่า “สัญญาซื้อขายหุ้น” คู่สัญญาต้องปฏิบัติตามกฎหมายก่อน จากนั้นจึงใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาจากคู่สัญญาในภายหลัง
กรณีที่กรรมการบริษัทชุดใหม่ อ้างสัญญาเพื่อไม่ต้องรับผิดชอบ “ภาษีอากรของบริษัท” บอกปัดการเสียภาษีต่อกรมสรรพากร และผลักภาระไปให้ผู้ถือหุ้นเดิมเสียภาษีแทนบริษัท จึงเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนอย่างมากใน “ลำดับศักดิ์” ของการบังคับใช้กฎหมายและสัญญาตามลำดับ

หลายกรณี กฎหมายไม่ได้กำหนดรายละเอียดของ “ความสัมพันธ์ทางกฎหมาย” ไว้อย่างชัดเจน จึงเป็นโอกาสของคู่สัญญาในการเจรจาต่อรองที่แตกต่างจากกฎหมายได้ ทั้งนี้ ข้อตกลงในสัญญานั้นต้องไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เช่น สัญญาแฟรนไชส์ สัญญาเช่าแบบลิสซิ่ง สัญญาต่างตอบแทนพิเศษยิ่งกว่าสัญญากู้ธรรมดา (Project Finance Contract) สัญญาต่างตอบแทนพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา (BTO: Build-Transfer-Operate) / BOT: Build-Operate-Transfer) สัญญาเหล่านี้ไม่มี “กฎหมายเฉพาะ” แต่ศาลยอมรับให้ใช้ “กฎหมายสัญญาทั่วไป” กับข้อตกลงที่มีลักษณะเป็นสัญญาลักษณะพิเศษเหล่านี้
กรณีศึกษานี้เป็นคดีฟ้องร้องสัญญาซื้อขายหุ้นของ “บริษัทน้ำตาล” จากธุรกิจครอบครัวน้ำตาลในจังหวัดหนึ่ง ขายหุ้นบริษัทให้ธุรกิจครอบครัวน้ำตาลอีกรายหนึ่ง ผู้ถือหุ้นใหม่ขอให้ศาลบังคับ “ผู้ถือหุ้นเดิม/กรรมการบริษัทชุดเดิม” รับผิดชอบ “หนี้ภาษีอากรของบริษัท” แทนบริษัทน้ำตาลและ “ผู้ถือหุ้นใหม่/กรรมการบริษัทชุดใหม่”
หลังจากการขายกิจการผ่านไปแล้ว 2 ปี กรมสรรพากรมีการประเมินภาษีอากรบริษัทน้ำตาล และเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง 5 ปี เป็นเงินกว่า 200 ล้านบาท บริษัทน้ำตาลจึงฟ้องคดีผิดสัญญาซื้อขายหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิม ถึงแม้ว่าบริษัทน้ำตาลไม่ได้เป็น “คู่สัญญา” ซื้อขายหุ้น แต่อาศัย “เงื่อนไขสัญญา” ที่กำหนดให้ผู้ถือหุ้นใหม่รวมทั้งบริษัทน้ำตาล สามารถใช้ “สิทธิไล่เบี้ย” เอาจากผู้ถือหุ้นเดิมให้ต้องรับผิดชำระหนี้ภาษีอากรแทนได้
ผู้ถือหุ้นเดิมต่อสู้ว่า “หนี้ภาษีอากร” ไม่ควรต้องสูงถึง 200 ล้านบาท หากผู้ถือหุ้นใหม่ใช้สิทธิตามนโยบายกรมสรรพากร “บรรเทาภาระภาษีสองปี” จะเหลือหนี้ภาษีอากรเพียง 3 ล้านบาท ประเด็นสำคัญ คือกรรมการบริษัทที่แต่งตั้งโดยผู้ถือหุ้นใหม่ ตัดสินใจไม่ขอบรรเทาภาระภาษี และที่สำคัญกรรมการบริษัทชุดใหม่ตัดสินใจไม่ฟ้องคดีภาษีต่อกรมสรรพากร ไม่ใช้สิทธิทางภาษีปกป้องผลประโยชน์ของบริษัท เพราะพิจารณาว่า “หนี้ภาษีอากร” นี้เมื่อบริษัทน้ำตาลต้องชำระภาษี 200 ล้านบาทให้กรมสรรพากรแล้ว บริษัทสามารถไล่เบี้ยเรียกคืนได้จากผู้ถือหุ้นเดิมตามสัญญาซื้อขายหุ้นได้

ในที่สุดศาลตัดสินให้ “คู่สัญญาทั้งสองฝ่าย” ตามสัญญาซื้อขายหุ้นต้อง “ร่วมกันรับผิดชอบ” ในความเสียหายทางภาษีค้างชำระ เพราะผู้ถือหุ้นเดิมมีภาระรับผิดชอบภาษีก่อนโอนหุ้น ส่วนผู้ถือหุ้นใหม่ต้องรับผิดชอบหลังโอนหุ้น อีกทั้งผู้ถือหุ้นใหม่ไม่ได้บรรเทาเยียวยาหนี้ภาษีอากรที่ค้างให้ลดน้อยลง ศาลพิจารณาว่าคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายต้องร่วมรับผิดชอบในภาระภาษีที่เป็นผลเสียหายทางการเงินต่อบริษัท
หนี้ภาษีอากร เป็น “หนี้ภาครัฐ” มีความพิเศษหลายอย่าง เช่น (1) หนี้ภาษีอากรเป็น “หนี้บุริมสิทธิ” ที่ต้องได้รับชำระหนี้ก่อน “หนี้สามัญ” (2) อายุความหนี้ภาษี ซึ่งเป็นคดีแพ่ง มีระยะเวลานานถึง 10 ปี (3) กรณี “ล้มละลาย” บุคคลธรรมดาที่เป็นลูกหนี้ภาษีอากร เมื่อ “ปลดจากล้มละลาย” แล้วหนี้ภาษีอากรไม่ได้หมดไป ลูกหนี้ยังคงต้องรับผิดหนี้ภาษีอากรต่อไป (4) กรมสรรพากรมีอำนาจยึด/อายัดทรัพย์สินของผู้เสียภาษี เพื่อนำมาขายทอดตลาดชำระหนี้ภาษีอากรได้โดยไม่ต้องฟ้องศาล
กรรมการบริษัทชุดเดิม ถือเป็นผู้แทนนิติบุคคล ในช่วงก่อนซื้อขายหุ้น ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดในหนี้สินของบริษัทในช่วงที่ตนเองทำหน้าที่กรรมการบริษัทได้ (ความรับผิดของกรรมการบริษัทตามช่วงเวลา สามารถดูได้จากหนังสือรับรองบริษัท ณ ช่วงเวลานั้นจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์) ดังนั้นก่อนพ้นหน้าที่กรรมการบริษัทชุดเดิม ควรส่งมอบงานที่ดำเนินการให้แก่กรรมการชุดใหม่ เพื่อปกป้องผลประโยชน์บริษัทไม่ให้กิจการบริษัทสะดุดหยุดชะงักจากการเปลี่ยนผู้ถือหุ้นและกรรมการบริษัท
กรรมการบริษัทชุดใหม่ ก่อนทำหน้าที่ควรมีการรับมอบงานจากกรรมการชุดเดิม และ ควรศึกษาข้อมูลในอดีตของบริษัทจากเอกสารต่าง ๆ เช่น (1) รายงานการประชุมผู้ถือหุ้น (2)รายงานการประชุมคณะกรรมการ (3) หนังสือมอบอำนาจสำคัญ (4) สัญญาทางธุรกิจที่สำคัญ เช่น สัญญาที่มีมูลค่าสูง มีผลผูกพันบริษัทระยะยาว (5) ข้อพิพาท คดีความสำคัญที่กรรมการชุดใหม่ต้องรับผิดชอบในผลแห่งคดีเมื่อถึงที่สุด ทั้งนี้ เพื่อให้การทำงานของกรรมการบริษัทมีประสิทธิภาพมากที่สุด และเพื่อประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสียทุกรายที่เกี่ยวข้องกับบริษัท
เขียนโดย
ชินภัทร วิสุทธิแพทย์
จัดทำโดย
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย