Topic

10 นวัตกรรมทางการเงินเพื่อความยั่งยืน (Innovative Financial Solution): โอกาสทองของธุรกิจไทยในตลาดทุนยุคใหม่

" 10 นวัตกรรมทางการเงินเพื่อความยั่งยืน: โอกาสทองให้ธุรกิจไทยในตลาดทุน "

             ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social, and Governance - ESG) ภาคเงินและภาคการลงทุนทั่วโลกมีการพูดถึงนวัตกรรมทางการเงินเพื่อความยั่งยืน (Innovative Financial Solution) อยู่เสมอ (World Economic Forum, 2023) ส่วนนึงอาจเป็นเพราะศักยภาพและความสามารถในการเข้าถึงแหล่งทุนเพื่อพัฒนาธุรกิจและเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน และขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกและสร้างคุณค่าระยะยาวให้กับผู้มีส่วนได้เสีย ภาคส่วนต่าง ๆ ตลอดจนสังคมในวงกว้างและประเทศชาติ 

 


 

ตอนที่ 1: 10 นวัตกรรมทางการเงินเพื่อความยั่งยืนในตลาดทุนไทย

 

 

1.1 ตราสารหนี้ยั่งยืน (Sustainable Bonds)

ตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน เป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางการเงินที่ได้รับความนิยมในภาคตลาดทุนไทยและทั่วโลก แบ่งออกเป็นหลายประเภท เช่น ตราสารหนี้สีเขียว (Green Bonds) ตราสารหนี้เพื่อสังคม (Social Bonds) และตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bonds) ตราสารเหล่านี้เปิดโอกาสให้บริษัทเข้าถึงแหล่งทุนเพื่อนำไปพัฒนาโครงการด้านสิ่งแวดล้อม หรือสังคม โดยธุรกิจจะได้รับเงื่อนไขสำหรับการกู้ยืมที่ดีกว่าการออกตราสารหนี้ทั่วไป เช่น อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า หรือระยะเวลาการชำระคืนที่ยาวนานกว่า เป็นต้น (สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์, 2024; Climate Bonds Initiative, 2023)

1.2 ตราสารหนี้ส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability-Linked Bonds)

ตราสารหนี้เชื่อมโยงกับความยั่งยืน คือ นวัตกรรมทางการเงินประเภทตราสารหนี้ ที่กำลังได้รับความสนใจทั้งในประเทศไทยและตลาดโลก ซึ่งแตกต่างจากตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืนตรงที่ไม่ได้กำหนดวัตถุประสงค์การใช้เงินไว้เฉพาะเจาะจง แต่ผูกโยงผลตอบแทนหรือเงื่อนไขของตราสารหนี้กับการบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนของบริษัท (สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย, 2023; International Capital Market Association, 2023)

1.3 กองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Mutual Funds)

กองทุนรวมเพื่อความยั่งยืนเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมทางการเงินที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดทุนไทยและทั่วโลก โดยมุ่งเน้นการลงทุนในบริษัทที่มีการดำเนินงานด้าน ESG ที่โดดเด่น หรือมีธุรกิจที่สนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน กองทุนเหล่านี้ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์ผู้ลงทุนที่ต้องการสร้างผลตอบแทนควบคู่ไปกับการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม แต่ยังช่วยกำหนดแนวทางของบริษัทเพื่อดำเนินการด้าน ESG และดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากกองทุนเหล่านี้ (สมาคมบริษัทจัดการลงทุน, 2024; Morningstar, 2023)

ณ สิ้นปี 2023 มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวมเพื่อความยั่งยืนในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 50,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากปีก่อนหน้า สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นของผู้ลงทุนไทยต่อการลงทุนอย่างยั่งยืน (สมาคมบริษัทจัดการลงทุน, 2024)

1.4 ดัชนีความยั่งยืน (Sustainability Index)

เครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถประเมินและเปรียบเทียบผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของบริษัทต่าง ๆ ได้อย่างเป็นรูปธรรม ส่งผลให้บริษัทที่มีผลการดำเนินงานด้าน ESG ที่ดี สามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนได้มากขึ้น เปิดโอกาสในการเติบโตและพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน เช่น ดัชนี SET ESG เป็นต้น

1.5 แพลตฟอร์มการซื้อขายคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit Trading Platforms)

แพลตฟอร์มการซื้อขายคาร์บอนเครดิตเป็นนวัตกรรมทางการเงินที่ช่วยให้บริษัทสามารถซื้อขายเครดิตคาร์บอนเพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในหลายประเทศทั่วโลก โดยเป็นแพลตฟอร์มกลางสำหรับการซื้อขายคาร์บอนเครดิตแบบสมัครใจ (Voluntary Carbon Market) (World Bank, 2023)

1.6 ประกันภัยดัชนี (Index Insurance) สำหรับความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ

ประกันภัยดัชนีเป็นนวัตกรรมทางการเงินที่ใช้ดัชนีทางสถิติ อาทิ ปริมาณน้ำฝน อุณหภูมิ ความเร็วลม เป็นตัวกำหนดการจ่ายค่าสินไหมทดแทน โดยไม่ต้องประเมินความเสียหายจริงในแต่ละกรณี ซึ่งช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานและทำให้การจ่ายค่าสินไหมทดแทนรวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเกษตรกรที่เผชิญกับความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2023; World Bank, 2023)

ในประเทศไทย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้พัฒนาโครงการประกันภัยข้าวนาปีตามดัชนีน้ำฝน ซึ่งใช้ปริมาณน้ำฝนเป็นดัชนีในการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่เกษตรกร โดยไม่ต้องรอการประเมินความเสียหายจริงในแปลงนา ช่วยให้เกษตรกรได้รับความคุ้มครองอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น (ธ.ก.ส., 2023)

1.7 โทเคนดิจิทัลเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Tokens)

โทเคนดิจิทัลเพื่อความยั่งยืนเป็นการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ในการสร้างสินทรัพย์ดิจิทัลแทนมูลค่าของโครงการหรือสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน อาทิ โครงการพลังงานหมุนเวียน โครงการอนุรักษ์ป่าไม้  โดยช่วยให้ผู้ลงทุนรายย่อยสามารถมีส่วนร่วมในการลงทุนในโครงการด้านความยั่งยืนได้ง่ายขึ้น และเพิ่มสภาพคล่องให้กับการลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่มีสภาพคล่อง (สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์, 2024; World Economic Forum, 2023)

1.8 การแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์เพื่อความยั่งยืน (Sustainable Asset Securitization)

การแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์เพื่อความยั่งยืนเป็นนวัตกรรมทางการเงินที่ช่วยระดมทุนสำหรับโครงการด้านความยั่งยืนโดยการรวมสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน เช่น สินเชื่อพลังงานสะอาด สัญญาเช่าอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน เป็นต้น และเป็นหลักทรัพย์ที่สามารถซื้อขายได้ในตลาดทุน (สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์, 2024; Climate Bonds Initiative, 2023)

1.9 กองทุนรวมผสมผสานผลตอบแทนทางการเงินและผลกระทบ (Blended Finance Impact Funds)

กองทุนรวมผสมผสานผลตอบแทนทางการเงินและผลกระทบ เป็นนวัตกรรมทางการเงินที่รวมเงินลงทุนจากภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรไม่แสวงหากำไร เพื่อลงทุนในโครงการที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายทั้งในด้านผลตอบแทนทางการเงินและผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม (สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์, 2024; OECD, 2023)

ในประเทศไทย สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ร่วมกับธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนชั้นนำของไทย ได้จัดตั้ง "กองทุนนวัตกรรมเพื่อผลกระทบ" (Innovation Impact Fund) ซึ่งระดมทุนจากทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อลงทุนในสตาร์ทอัพและวิสาหกิจเพื่อสังคมที่มีโซลูชันนวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งเน้นทั้งผลตอบแทนทางการเงินและผลกระทบที่วัดได้ (สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ, 2023)

1.10 แพลตฟอร์มการซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนโดยตรง 

แพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนกับผู้ใช้ไฟฟ้าภาคธุรกิจโดยตรง เช่น แพลตฟอร์มสนับสนุนการขึ้นทะเบียนและขายใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate: REC) ของ บมจ.ธนาคารกสิกรไทย เป็นต้น 

 

นวัตกรรมทางการเงินเหล่านี้ไม่เพียงแต่เปิดโอกาสใหม่ ๆ ในการเข้าถึงแหล่งทุนและบริหารความเสี่ยงสำหรับธุรกิจไทย
แต่ยังช่วยส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนและประชาชนในการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาและการใช้งานนวัตกรรมเหล่านี้จำเป็นต้องมีการกำกับดูแลที่เหมาะสม
เพื่อป้องกันความเสี่ยงและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย

2. โอกาสทางธุรกิจจากนวัตกรรมทางการเงินเพื่อความยั่งยืน

 

2.1 การเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่หลากหลายและมีต้นทุนต่ำ

นวัตกรรมทางการเงินเพื่อความยั่งยืน เปิดโอกาสให้บริษัทไทยสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนใหม่ๆ ที่มีต้นทุนต่ำกว่าการระดมทุนแบบดั้งเดิมโดยเฉพาะสำหรับโครงการด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม การออกตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืนหรือตราสารหนี้เชื่อมโยงกับความยั่งยืน ไม่เพียงแต่ช่วยลดต้นทุนทางการเงิน แต่ยังช่วยขยายฐานผู้ลงทุนไปสู่กลุ่มที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง (สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์, 2024; Global Sustainable Investment Alliance, 2023)

2.2 การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่

การเติบโตสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการของผู้บริโภคและผู้ลงทุนยุคใหม่ที่ใส่ใจต่อผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมมากขึ้น ธุรกิจไทยจึงมีโอกาสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบสนองความต้องการนี้ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม บริการที่ส่งเสริมความเท่าเทียมทางสังคม หรือโซลูชันทางการเงินที่สนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน (Nielsen, 2023)

2.3 การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก

ในยุคที่ผู้ลงทุนและผู้บริโภคทั่วโลกให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น การดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึง ESG ไม่เพียงแต่เป็นสิ่งที่ "ควรทำ" แต่กลายเป็นสิ่งที่ "ต้องทำ" เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก บริษัทไทยที่สามารถปรับตัวและใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมทางการเงินเพื่อความยั่งยืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะมีความได้เปรียบในการดึงดูดผู้ลงทุนต่างชาติ การเข้าถึงตลาดใหม่ๆ และการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจในระดับนานาชาติ (สภาธุรกิจตลาดทุนไทย, 2024; World Economic Forum, 2023)

2.4 การสร้างนวัตกรรมและโมเดลธุรกิจใหม่

นวัตกรรมทางการเงินเพื่อความยั่งยืนเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการสร้างนวัตกรรมและโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความยั่งยืน ตัวอย่างเช่น การเกิดขึ้นของ "ธุรกิจเพื่อสังคม" (Social Enterprise) ที่มุ่งสร้างผลกำไรควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือการพัฒนาแพลตฟอร์มระดมทุนสำหรับโครงการด้านความยั่งยืนโดยเฉพาะ (สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ, 2023; Sustainable Digital Finance Alliance, 2023)


3. การเตรียมความพร้อมของธุรกิจไทยสู่การเงินเพื่อความยั่งยืน

3.1 การประเมินผลกระทบด้าน ESG และกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน

ก้าวแรกสู่การใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมทางการเงินเพื่อความยั่งยืน คือการประเมินผลกระทบด้าน ESG ของธุรกิจอย่างรอบด้าน เพื่อเข้าใจจุดแข็ง จุดอ่อน และโอกาสในการพัฒนา จากนั้นควรกำหนดเป้าหมายด้านความยั่งยืนที่ชัดเจน วัดผลได้ และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล เช่น เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (SDGs) หรือความตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2023; United Nations Global Compact, 2023)

3.2 การพัฒนาระบบการจัดเก็บข้อมูลและการรายงานด้าน ESG

การเข้าถึงนวัตกรรมทางการเงินเพื่อความยั่งยืน เช่น การออกตราสารหนี้สีเขียวหรือการเข้าร่วมในดัชนีความยั่งยืน จำเป็นต้องมีระบบการจัดเก็บข้อมูลและการรายงานด้าน ESG ที่มีประสิทธิภาพและน่าเชื่อถือ ธุรกิจไทยควรลงทุนในการพัฒนาระบบดังกล่าว รวมถึงการฝึกอบรมบุคลากรให้มีความเข้าใจและทักษะในการจัดการข้อมูล ESG (สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย, 2024; Global Reporting Initiative, 2023)

3.3 การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน

การนำนวัตกรรมทางการเงินเพื่อความยั่งยืนมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากทุกระดับในองค์กร ตั้งแต่คณะกรรมการบริษัทไปจนถึงพนักงานระดับปฏิบัติการ การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ผ่านการสื่อสาร การฝึกอบรม และการสร้างแรงจูงใจ จะช่วยให้การดำเนินงานด้าน ESG เป็นไปอย่างราบรื่นและยั่งยืน (สถาบันพัฒนาองค์กรเพื่อความยั่งยืน, 2023; MIT Sloan Management Review, 2023)

3.4 การสร้างและขยายความร่วมมือกับผู้มีส่วนได้เสีย

ความยั่งยืนไม่ใช่เรื่องที่องค์กรใดองค์กรหนึ่งสามารถดำเนินการได้โดยลำพัง การสร้างความร่วมมือกับผู้มีส่วนได้เสียตลอดห่วงโซ่คุณค่า ไม่ว่าจะเป็นคู่ค้า (Supplier)  ลูกค้า ชุมชน หน่วยงานกำกับดูแล หรือพนักงานขององค์กรเอง จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและผลกระทบของการดำเนินงานด้านความยั่งยืน รวมถึงเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงนวัตกรรมทางการเงินเพื่อความยั่งยืนรูปแบบต่างๆ ได้อีกด้วย (สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, 2024; World Business Council for Sustainable Development, 2023)


4. บทบาทของภาครัฐและหน่วยงานกำกับดูแลในการส่งเสริมนวัตกรรมทางการเงินเพื่อความยั่งยืน

4.1 การพัฒนาแนวทางหรือกฎระเบียบ ที่เอื้อต่อการเติบโตของนวัตกรรมทางการเงินเพื่อความยั่งยืน

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีบทบาทสำคัญในการพัฒนากรอบกฎระเบียบที่เอื้อต่อการเติบโตของนวัตกรรมทางการเงินเพื่อความยั่งยืน เช่น การออกแนวปฏิบัติสำหรับการออกตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน การกำหนดมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลด้าน ESG และมาตรฐานกลางที่ใช้อ้างอิงในการจำแนกและจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของไทย (Thailand Taxonomy) การสร้างแรงจูงใจทางภาษีสำหรับการลงทุนในผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ยั่งยืน เป็นต้น (สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์, 2024; International Organization of Securities Commissions, 2023)

4.2 การส่งเสริมความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการเงินเพื่อความยั่งยืน

ภาครัฐและหน่วยงานกำกับดูแลควรมีบทบาทในการส่งเสริมความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการเงินเพื่อความยั่งยืนให้กับทุกภาคส่วน ทั้งบริษัทจดทะเบียน ผู้ลงทุน และประชาชนทั่วไป ผ่านการจัดอบรม สัมมนา และการเผยแพร่ข้อมูลผ่านช่องทางต่างๆ เพื่อสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของนวัตกรรมทางการเงินเพื่อความยั่งยืน (ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, 2024; OECD, 2023)

4.3 การสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ

การสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานกำกับดูแลและองค์กรระหว่างประเทศ จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และแนวปฏิบัติที่ดีในการพัฒนานวัตกรรมทางการเงินเพื่อความยั่งยืน รวมถึงการสร้างมาตรฐานที่สอดคล้องกับแนวทางสากล ซึ่งจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและดึงดูดผู้ลงทุนต่างชาติ (ธนาคารแห่งประเทศไทย, 2023; Network for Greening the Financial System, 2023)


5. แนวโน้มและความท้าทายของนวัตกรรมทางการเงินเพื่อความยั่งยืนในอนาคต

5.1 การเติบโตของ Fintech เพื่อความยั่งยืน

เทคโนโลยีทางการเงิน (Fintech) กำลังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนานวัตกรรมทางการเงินเพื่อความยั่งยืน โดยคาดว่าในอนาคตจะเห็นการเติบโตของแพลตฟอร์มการระดมทุนสำหรับโครงการด้านความยั่งยืน การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงด้าน ESG และการใช้บล็อกเชนในการติดตามและตรวจสอบการใช้เงินทุนในโครงการด้านความยั่งยืน (World Economic Forum, 2023)

5.2 การบูรณาการ ESG เข้ากับการบริหารความเสี่ยงทางการเงิน

แนวโน้มสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การบูรณาการปัจจัยด้าน ESG เข้ากับกระบวนการบริหารความเสี่ยงทางการเงินแบบดั้งเดิม สถาบันการเงินและผู้ลงทุนจะให้ความสำคัญกับการประเมินความเสี่ยงด้าน ESG มากขึ้น โดยเฉพาะความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจในระยะยาว (ธนาคารแห่งประเทศไทย, 2023; Task Force on Climate-related Financial Disclosures, 2023)


บทสรุป

นวัตกรรมทางการเงินเพื่อความยั่งยืนกำลังเปิดโอกาสใหม่ ๆ ให้กับธุรกิจไทยในการเข้าถึงแหล่งทุน บริหารความเสี่ยง และสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่ตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน กองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน ไปจนถึงแพลตฟอร์มการซื้อขายคาร์บอนเครดิตและพันธบัตรเปลี่ยนผ่านพลังงาน นวัตกรรมเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ธุรกิจสามารถบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนได้เร็วขึ้น แต่ยังเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับ ESG มากขึ้นเรื่อยๆ

อย่างไรก็ตาม การใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมเหล่านี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐในการพัฒนากรอบกฎหมายและนโยบายที่เอื้ออำนวย ภาคเอกชนในการปรับตัวและลงทุนในเทคโนโลยีและกระบวนการใหม่ๆ และภาคการศึกษาในการพัฒนาบุคลากรที่มีความรู้และทักษะที่จำเป็น

ในท้ายที่สุด การเงินเพื่อความยั่งยืนไม่ใช่เพียงแค่เครื่องมือทางการเงิน
แต่เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบสู่เศรษฐกิจที่ยั่งยืนต่อไป

 

หมายเหตุ: บทความนี้เป็นมุมมองส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้น และข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลล่าสุดที่มีอยู่ ณ เวลาที่เขียน (2024-09-09 14:56:49)
อย่างไรก็ตาม นวัตกรรมทางการเงินเป็นเรื่องที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นข้อมูลบางส่วนอาจมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต 

 

เขียนโดย

ทยุต สิริวรการวณิชย์
SET ESG Academy
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

 

 


ข้อมูลอ้างอิง