Topic

CG Today : มุมมองการบริหารความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ด้านภูมิรัฐศาสตร์ในซัพพลายเชน

 

มุมมองการบริหารความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ด้านภูมิรัฐศาสตร์ในซัพพลายเชน

การบริหารซัพพลายเชนให้มีประสิทธิภาพควรสอดคล้องกับกลยุทธ์ขององค์กร เนื่องจากกลยุทธ์ที่องค์กรเลือกมาควรผ่านการวิเคราะห์ความเสี่ยงต่าง ๆ ในซัพพลายเชน เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงาน ความเสี่ยงที่ธุรกิจควรให้ความสำคัญคือ ความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์

ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและธุรกิจในหลายด้าน เช่น ทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวและต้นทุนการค้าสูงขึ้น ยกตัวอย่าง วิกฤตทะเลแดงที่เกิดจากกลุ่มกบฏฮูตี ทำให้การขนส่งสินค้าทางเรือต้องเปลี่ยนเส้นทางจากคลองสุเอซไปยังแหลมกู๊ดโฮป ส่งผลให้เวลาและต้นทุนเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับ Shanghai Container Freight Index ที่แสดงให้เห็นถึงอัตราค่าขนส่งตู้คอนเทนเนอร์จากท่าเรือจีนที่เพิ่มขึ้นถึง 114% ตั้งแต่กลางเดือนธันวาคม 2566 เป็นต้น

ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ยังส่งผลต่อการตัดสินใจของภาคธุรกิจและการลงทุน เช่น BP บริษัทพลังงานอันดับ 3 ของยุโรป ประกาศถอนหุ้นมูลค่า 25,000 ล้านเหรียญจาก Rosneft บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ของรัสเซีย ในขณะเดียวกันก็เกิดการแบ่งขั้วด้านเศรษฐกิจและการค้าที่สร้างโอกาสใหม่ ๆ เช่น กรอบความร่วมมือ Belt and Road Initiative ของจีน และ Indo-Pacific Framework ของสหรัฐฯ

รายงานของ World Economic Forum (WEF) ประจำปี 2024 ระบุว่า ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์เป็นหนึ่งใน 5 อันดับแรกที่ควรเฝ้าระวัง และรายงานจาก EY “the 2024 Geostrategic Outlook” ได้วิเคราะห์ 10 ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจกระทบต่อธุรกิจ อาทิ การแบ่งขั้วเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างอเมริกาและจีน หรือการเลือกตั้งในหลายประเทศที่อาจเปลี่ยนนโยบายด้านการค้าและการลงทุน

เพื่อรับมือกับความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ ธุรกิจควรพัฒนากลยุทธ์ทางภูมิศาสตร์ (Geostrategy) เพื่อบริหารความเสี่ยงและโอกาสของซัพพลายเชน EY พบว่า ผู้บริหารกว่า 90% ได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงทางการเมืองที่ไม่คาดคิดในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งกระทบต่อการลงทุน การเติบโต และซัพพลายเชนของธุรกิจ นอกจากนี้ คณะกรรมการและผู้บริหารระดับสูงควรให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ความเสี่ยงเหล่านี้เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์องค์กร

 

ขั้นตอนสำคัญในการจัดทำกลยุทธ์ภูมิศาสตร์

ประกอบด้วยการระบุตัวชี้วัดความเสี่ยง การประเมินผลกระทบทางธุรกิจ และการรวมความเสี่ยงทางการเมืองไว้ในการจัดทำกลยุทธ์องค์กร นอกจากนี้ ธุรกิจควรตั้งคณะกรรมการที่มีตัวแทนจากหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อจัดการความเสี่ยงอย่างเป็นระบบเพื่อลดผลกระทบจากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ธุรกิจควรมีแนวทางรับมืออย่างเป็นระบบในระดับกลยุทธ์ โดยเน้นการปรับโครงสร้างซัพพลายเชนให้ยืดหยุ่นและพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ซึ่งมีแนวทางแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ดังนี้

  1.  ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ที่ธุรกิจต้องพิจารณาในกลยุทธ์
    ความขัดแย้งระหว่างขั้วการเมืองโลก ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ ยุโรป และจีนจะรุนแรงขึ้น ทำให้หลายประเทศต้องเลือกข้าง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการค้าและการแลกเปลี่ยนเงินตรา หรือการเลือกตั้งที่มีผลต่อการค้าและการลงทุน โดยธุรกิจต้องวิเคราะห์นโยบายเศรษฐกิจของผู้นำประเทศที่เปลี่ยนแปลงหลังการเลือกตั้ง



  2. การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทานโลก

    • การกระจายซัพพลายเชน

    การพึ่งพาซัพพลายเออร์หรือสถานที่ผลิตเพียงแห่งเดียวเป็นความเสี่ยงใหญ่ ธุรกิจควรปรับโครงสร้างซัพพลายเชนให้กระจายความเสี่ยง โดยเลือกซัพพลายเออร์จากหลายภูมิภาค เพื่อไม่ให้พึ่งพาพื้นที่ที่อาจมีความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์สูง การกระจายซัพพลายเออร์นี้ยังช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน เช่นเดียวกับการกระจายสถานที่ผลิตไปยังประเทศหรือภูมิภาคที่มีเสถียรภาพมากกว่า

    • การใช้เทคโนโลยีและการวิเคราะห์ข้อมูล

    การนำระบบวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) และการติดตามแบบเรียลไทม์มาใช้ในซัพพลายเชนจะช่วยให้ธุรกิจสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้รวดเร็ว การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกยังช่วยทำนายแนวโน้มของความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ได้ล่วงหน้า และช่วยวางแผนรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    • การสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์

    การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับซัพพลายเออร์หรือผู้ผลิตในหลายภูมิภาคจะช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นให้กับซัพพลายเชน ธุรกิจควรมุ่งเน้นการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจที่มีเป้าหมายร่วมกันในการจัดการกับความเสี่ยง และมีแนวทางในการตอบสนองต่อสถานการณ์วิกฤตได้อย่างรวดเร็ว

    • การประเมินความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ

    การติดตามและประเมินความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์อย่างต่อเนื่องเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อให้ธุรกิจสามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ธุรกิจควรใช้ข้อมูลจากหลายแหล่งในการประเมินความเสี่ยง เช่น ข้อมูลจากหน่วยงานรัฐ บริษัทที่ปรึกษา และนักวิเคราะห์เศรษฐกิจ

    • การพัฒนาแผนฉุกเฉิน (Contingency Plan)

    ธุรกิจควรมีแผนฉุกเฉินที่ชัดเจนและสามารถดำเนินการได้ทันทีในกรณีที่เกิดวิกฤตทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น การเตรียมแผนสำรองสำหรับเส้นทางขนส่ง การย้ายการผลิตไปยังโรงงานที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคอื่น หรือการสร้างเครือข่ายซัพพลายเออร์สำรอง แผนฉุกเฉินจะต้องมีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะปรับใช้ในสถานการณ์ที่แตกต่างกันได้



  3. การปรับกลยุทธ์ความยั่งยืนให้สอดคล้องกับภูมิรัฐศาสตร์

    • กระจายตลาดการค้า ควรทบทวนกลยุทธ์การขยายกำลังผลิตและการเปิดตลาดใหม่ ๆ
    • การแข่งขันด้านสินค้าโภคภัณฑ์ ธุรกิจต้องวางแผนการจัดหาวัตถุดิบสำคัญ เช่น แร่ธาตุและสินค้าเกษตร
    • นโยบายเศรษฐกิจสีเขียวคู่ขนาน คือนโยบายเศรษฐกิจและพลังงานของแต่ละประเทศควรนำมาพิจารณาในกลยุทธ์ทางธุรกิจ
    • กฎระเบียบด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ธุรกิจควรหาโอกาสลงทุนในโครงการที่เน้นลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก


 

การบริหารความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ในซัพพลายเชนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในยุคที่โลกมีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์และมีการวางแผนกลยุทธ์ที่รัดกุมสามารถช่วยให้ธุรกิจมีความยืดหยุ่นและสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพแม้เผชิญกับความเสี่ยงเหล่านี้

หากสนใจศึกษาเพิ่มเติม ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้จัดการอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง Strategic Supply Chain Workshop เมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 และสามารถรับชมย้อนหลังได้ที่ https://www.youtube.com/playlist?list=PLQtlXHTArVHvTCaklg27TL9nyVrQtLI2X

 


 



ฝ่ายพัฒนาธุรกิจเพื่อความยั่งยืน
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย