Topic

CG Today : จับสังเกตความผิดปกติ ลดความเสี่ยงการลงทุน


นักลงทุนถือเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่สำคัญในการขับเคลื่อนตลาดทุนสู่ความยั่งยืน การพัฒนาทักษะในการวิเคราะห์และตรวจสอบความผิดปกติของการดำเนินงานและงบการเงิน ไม่เพียงช่วยปกป้องผลประโยชน์ของนักลงทุนเอง แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับมาตรฐานการกำกับดูแลกิจการที่ดีของตลาดทุนไทย
 

 


แนวทางการวิเคราะห์และสังเกตความผิดปกติ

  1. การวิเคราะห์งบการเงิน

     
    การวิเคราะห์แนวโน้ม สังเกตการเติบโตของรายได้หรืออัตรากำไรที่ผิดปกติ เช่น การเติบโต 50% ในไตรมาสเดียวขณะที่อุตสาหกรรมเติบโตเพียง 5-10% หรืออัตรากำไรที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมอย่างมีนัยสำคัญโดยไม่มีเหตุผลรองรับ

     
    การวิเคราะห์คุณภาพกำไร เปรียบเทียบกำไรสุทธิกับกระแสเงินสด ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงนโยบายบัญชีที่กระทบกำไร และสังเกตการประมาณการทางบัญชีที่ผิดปกติ

  2. การวิเคราะห์รายการที่อาจมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์

       รายการระหว่างกัน
    ติดตามมูลค่าและความถี่ของรายการ เปรียบเทียบเงื่อนไขการค้ากับลูกค้าทั่วไป และพิจารณาความสมเหตุสมผลของรายการ

     
    การให้ความช่วยเหลือทางการเงิน วิเคราะห์อัตราดอกเบี้ย ความเพียงพอของหลักประกัน และติดตามประวัติการชำระคืน

  3. การสังเกตพฤติกรรมผู้บริหาร

       การตัดสินใจ
    สังเกตการตัดสินใจที่เร่งรีบ การเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ที่ไม่สอดคล้องกับธุรกิจ

     
    การสื่อสาร ประเมินความโปร่งใสในการตอบคำถาม การหลีกเลี่ยงประเด็นสำคัญ และความสอดคล้องของข้อมูล

  4. การสังเกตข้อร้องเรียนหรือคำเตือนจากหน่วยงานกำกับดูแล

       
    การแจ้งเบาะแสหรือข้อร้องเรียน เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ช่วยป้องกันและตรวจจับการทุจริตในองค์กร โดยการร้องเรียนอาจมาจากพนักงานในองค์กรหรือผู้มีส่วนรู้เห็น ซึ่งผู้ลงทุนควรพิจารณาว่าบริษัทให้ความสำคัญกับเรื่องนโยบายและวิธีปฏิบัติการแจ้งเบาะแส (whistle blowing) หรือไม่ เช่น มีช่องทางการแจ้งเบาะแสที่ปลอดภัย มีมาตรการดำเนินการกับข้อร้องเรียน และมาตรการคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส มีการเปิดเผยผลการร้องเรียนที่โปร่งใส

     
    คำเตือนจากหน่วยงานกำกับดูแล ผู้ลงทุนควรติดตามข่าวสารและคำแนะนำจากหน่วยงานกำกับดูแลเป็นประจำ เช่น การมีธุรกรรมหรือรายการบัญชีที่ไม่ปกติ รวมถึงการใช้สิทธิในฐานะผู้ถือหุ้นในการซักถามแสดงความเห็นและลงคะแนนเสียง

 


 


ผลกระทบต่อความยั่งยืนของตลาดทุน

  1. ผลกระทบต่อความยั่งยืนทางการเงิน

    การทุจริตในตลาดทุนส่งผลกระทบโดยตรงต่อมูลค่าการลงทุนของผู้ถือหุ้น โดยเฉพาะเมื่อการทุจริตถูกเปิดเผย มักทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง นอกจากนี้ยังส่งผลให้ต้นทุนการระดมทุนของตลาดทุนโดยรวมสูงขึ้น เนื่องจากนักลงทุนต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้นเพื่อชดเชยความเสี่ยง และในระยะยาวยังทำให้ความสามารถในการแข่งขันของตลาดทุนไทยลดลงเมื่อเทียบกับตลาดทุนอื่นในภูมิภาค

  2. ผลกระทบต่อความยั่งยืนด้านสังคม

    เมื่อเกิดการทุจริตในตลาดทุน ผลกระทบไม่ได้จำกัดอยู่เพียงมูลค่าการลงทุนที่สูญเสียไป แต่ยังส่งผลให้นักลงทุนรายย่อยสูญเสียความเชื่อมั่นในระบบตลาดทุน นำไปสู่การจัดสรรทรัพยากรในระบบเศรษฐกิจที่ขาดประสิทธิภาพ เนื่องจากเงินทุนอาจไหลออกจากตลาดหรือถูกจัดสรรไปยังการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าที่ควร ส่งผลให้สังคมโดยรวมสูญเสียโอกาสในการพัฒนาจากการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ

  3. ผลกระทบต่อการกำกับดูแลกิจการ

    การทุจริตที่เกิดขึ้นส่งผลให้มาตรฐานการกำกับดูแลกิจการของตลาดทุนไทยถูกประเมินในระดับที่ต่ำลงในสายตานักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ทำให้หน่วยงานกำกับดูแลต้องเพิ่มกฎระเบียบและการตรวจสอบ ส่งผลให้ต้นทุนการกำกับดูแลเพิ่มสูงขึ้น และที่สำคัญคือทำให้การดึงดูดนักลงทุนที่มีคุณภาพทั้งในและต่างประเทศทำได้ยากขึ้น เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับมาตรฐานการกำกับดูแลกิจการ



 


บทบาทของนักลงทุนในการป้องกันผลกระทบ

  1. การพัฒนาศักยภาพ นักลงทุนจำเป็นต้องพัฒนาความรู้และทักษะในการวิเคราะห์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะความเข้าใจในงบการเงินและการดำเนินธุรกิจ ควบคู่กับการติดตามข้อมูลและข่าวสารที่เกี่ยวข้องอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการเรียนรู้จากกรณีศึกษาการทุจริตที่เคยเกิดขึ้นและประสบการณ์จริงของนักลงทุนอื่น เพื่อเพิ่มความระมัดระวังและความสามารถในการตรวจจับสัญญาณเตือนภัย

  2. การใช้สิทธิอย่างแข็งขัน นักลงทุนควรใช้สิทธิของตนอย่างเต็มที่ผ่านการเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้นและแสดงความคิดเห็นในประเด็นสำคัญ ไม่ลังเลที่จะตั้งคำถามเมื่อพบรายการที่น่าสงสัยหรือต้องการความชัดเจนเพิ่มเติม พร้อมทั้งติดตามผลการดำเนินการของบริษัทอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในประเด็นที่เคยมีการซักถาม

  3. การสร้างเครือข่าย การรวมกลุ่มกับนักลงทุนอื่นเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและมุมมองเป็นอีกบทบาทสำคัญ เนื่องจากช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองในการเรียกร้องความโปร่งใสจากบริษัทจดทะเบียน นอกจากนี้ การมีเครือข่ายที่เข้มแข็งยังช่วยให้การแจ้งเบาะแสเมื่อพบการกระทำผิดมีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถผลักดันให้เกิดการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที

 


กรณีศึกษา บทเรียนจากการตรวจจับความผิดปกติ

กรณีที่ 1 Enron (ปี 2001) เมื่อตัวเลขในงบการเงินส่อพิรุธ

สัญญาณเตือนที่นักลงทุนควรสังเกต

  • อัตรากำไรเติบโตผิดปกติ 570% ในช่วง 4 ปี ขณะที่อุตสาหกรรมเติบโตเฉลี่ยเพียง 5%
  • กระแสเงินสดจากการดำเนินงานติดลบ แม้รายงานกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
  • รายการระหว่างกันกับบริษัทย่อยมีมูลค่าสูงผิดปกติและซับซ้อน
  • ผู้บริหารหลีกเลี่ยงการตอบคำถามเกี่ยวกับโครงสร้างทางการเงิน


ผลกระทบ

  • มูลค่าหุ้นร่วงจาก 90 ดอลลาร์เหลือไม่ถึง 1 ดอลลาร์
  • พนักงานสูญเสียเงินบำนาญกว่า 2 พันล้านดอลลาร์
  • เกิดการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบการกำกับดูแลครั้งใหญ่


บทบาทผู้แจ้งเบาะแส

  • Sherron Watkins รองประธานฝ่ายพัฒนาองค์กร ส่งจดหมายลับถึง CEO Kenneth Lay เตือนเรื่องการตกแต่งบัญชี
  • เธอระบุความผิดปกติในการใช้บริษัทนอกงบดุลซ่อนหนี้สิน และการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ที่สูงเกินจริง
  • แม้ผู้บริหารพยายามเพิกเฉย แต่หลักฐานที่เธอรวบรวมช่วยให้ทางการสืบสวนจนพบการทุจริต

 

ที่มา: The Smartest Guys in the Room: The Amazing Rise and Scandalous Fall of Enron (2003), Extraordinary Circumstances: The Journey of a Corporate Whistleblower (2008)

 

กรณีที่ 2 Satyam Computer Services (2009 บทเรียนจากอินเดีย

สัญญาณเตือนที่นักลงทุนควรสังเกต

  • เงินสดในบัญชีสูงผิดปกติ (94,000 ล้านรูปี) แต่ไม่มีการจ่ายเงินปันผลพิเศษ
  • อัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรมถึง 20%
  • มีการเปลี่ยนผู้สอบบัญชีกะทันหันโดยไม่มีเหตุผลชัดเจน
  • ผู้บริหารพยายามทำรายการซื้อกิจการขนาดใหญ่อย่างเร่งรีบ


ผลกระทบ

  • มูลค่าหุ้นลดลง 95% ภายในวันเดียว
  • นักลงทุนสูญเสียมูลค่าการลงทุนกว่า 2 พันล้านดอลลาร์
  • ส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของตลาดทุนอินเดียในระยะยาว


บทบาทผู้แจ้งเบาะแส

  • พนักงานฝ่ายบัญชีหลายคนเริ่มส่งอีเมลนิรนามถึงคณะกรรมการตรวจสอบ
  • แจ้งเบาะแสเรื่องการสร้างบัญชีลูกค้าปลอมและการแก้ไขเอกสารการรับเงิน
  • การแจ้งเบาะแสนี้นำไปสู่การตรวจสอบเพิ่มเติมจนประธานบริษัทต้องยอมรับการทุจริต

 

ที่มา: Corporate Fraud: Case Studies in Detection and Prevention (2013), Securities and Exchange Board of India (SEBI), The Satyam Scandal: Analysis of India's Largest Corporate Fraud (2010), Journal of Financial Crime

 

การพัฒนาทักษะในการวิเคราะห์และตรวจสอบของนักลงทุนเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับมาตรฐานการกำกับดูแลกิจการของตลาดทุนไทย เมื่อนักลงทุนมีความเข้มแข็ง สามารถตรวจสอบและแสดงจุดยืนต่อการดำเนินงานที่ไม่เหมาะสม จะช่วยผลักดันให้บริษัทจดทะเบียนต้องยกระดับมาตรฐานการกำกับดูแลกิจการ นำไปสู่การพัฒนาตลาดทุนไทยที่ยั่งยืนในระยะยาว

 


 



ฝ่ายพัฒนาธุรกิจเพื่อความยั่งยืน
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย