Topic

ปีแรกกับผลการประเมิน FTSE Russell ESG Scores ประจำปี 2567 ของหุ้นไทย

                  การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนไม่แพ้ผลประกอบการที่เป็นตัวเงิน ทั่วโลกจึงมีแนวโน้มกำหนดให้การเปิดเผยข้อมูล ESG เป็นภาคบังคับกันมากขึ้น ซึ่งบริษัทจดทะเบียนไทยสามารถปรับตัวกันได้เป็นอย่างดี สะท้อนจากจำนวนบริษัทจดทะเบียนที่เปิดเผยข้อมูล ESG ผ่าน SET ESG Data Platform ในปี 2567 จำนวน 690 บริษัท คิดเป็น 78% ของจำนวนบริษัททั้งหมด นอกจากนี้ ยังมีบริษัทจำนวนไม่น้อยที่ทยอยยกระดับการเปิดเผยข้อมูลให้สอดรับกับเทรนด์และมาตรฐานการรายงานในระดับสากล

                  ปี 2567 ที่ผ่านมานับเป็น ‘ปีแรก’ ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเริ่มโครงการนำร่องในการประเมิน FTSE Russell ESG Scores โดยร่วมมือกับผู้ประเมินระดับโลกอย่าง FTSE Russell เพื่อให้บริษัทจดทะเบียนไทยได้มีโอกาสเตรียมความพร้อมและทยอยยกระดับการดำเนินงานด้าน ESG โดยจะยังไม่มีการเปิดเผยผลคะแนนของแต่ละบริษัทต่อสาธารณชนในช่วงโครงการนำร่องระหว่างปี 2567-2568 นี้

                  ผลประเมิน ESG ดังกล่าวถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการสะท้อนความมุ่งมั่นและการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียน แต่บริษัทจดทะเบียนและนักลงทุนควรตระหนักว่า คะแนนมิได้เป็นเพียงเครื่องมือเดียวที่ใช้ในการประเมินและวัดผลประสิทธิภาพและพัฒนาการด้านความยั่งยืนของธุรกิจบริษัทจดทะเบียนจึงควรมุ่งเน้นการลงมือทำและ Integrate ESG ในกระบวนการทำงาน โดยไม่มุ่งหวังเพียงแค่ผลคะแนน ในทำนองเดียวกันผลประเมิน ESG ไม่ใช่สูตรสำเร็จในการพิจารณาลงทุน นักลงทุนจะต้องพิจารณาข้อมูลอื่นควบคู่กันไปด้วย เช่น กลยุทธ์การปรับตัวของธุรกิจ แผนการบริหารความเสี่ยง การกำกับดูแลกิจการ และข้อมูลผลการดำเนินการทางการเงิน เป็นต้น

 

 

“คะแนนมิได้เป็นเพียงเครื่องมือเดียวที่ใช้ในการประเมินและวัดผลประสิทธิภาพและพัฒนาการด้านความยั่งยืนของธุรกิจ บริษัทจดทะเบียนจึงควรมุ่งเน้นการลงมือทำและ Integrate ESG ในกระบวนการทำงาน โดยไม่มุ่งหวังเพียงแค่ผลคะแนน ในทำนองเดียวกันผลประเมิน ESG ไม่ใช่สูตรสำเร็จในการพิจารณาลงทุน นักลงทุนจะต้องพิจารณาข้อมูลอื่นควบคู่กันไปด้วย”

 

 


ทวนความเข้าใจ
FTSE Russell ESG Scores

                  FTSE Russell ESG Scores คือผลการประเมินการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของบริษัทจากข้อมูลที่บริษัทเปิดเผยสู่สาธารณะ โดย FTSE Russell แบ่งการประเมินออกเป็น 3 มิติ คือ สิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล ประกอบด้วย 14 ธีม ครอบคลุมกว่า 300 ตัวชี้วัด ทั้งนี้ จำนวนธีมและจำนวนตัวชี้วัดที่แต่ละบริษัทได้รับการประเมินจะไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับประเทศที่ตั้ง สัดส่วนรายได้ และการจัดกลุ่มอุตสาหกรรมตามมาตรฐาน Industry Classification Benchmark (ICB)

                  ผลคะแนนของ FTSE Russell ESG Scores ประกาศเป็นคะแนน 0.0 ถึง 5.0 คะแนน ซึ่ง 0.0 คะแนน หมายถึง ไม่มีข้อมูลให้ประเมิน ส่วน 3.0 คะแนน หมายถึง Good practice และ 5.0 คะแนน หมายถึง Best practice

 

ปีแรกกับผลการประเมิน FTSE Russell ESG Scores

                  บริษัทจดทะเบียนไทย 225 บริษัทได้รับผลการประเมิน FTSE Russell ESG Scores ประจำปี2567 เป็นที่เรียบร้อยแล้วในช่วงปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา สำหรับปีแรกนี้ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีที่จะปูพื้นฐานให้บริษัทจดทะเบียนไทยทราบสถานะว่าต้องปรับปรุงและพัฒนาการดำเนินงานให้สอดคล้องกับมาตรฐานความยั่งยืนระดับโลกอย่างไร เพื่อให้พร้อมปรับตัวสู่การประเมินระดับสากลเต็มรูปแบบได้อย่างราบรื่น

  • บริษัทไทยได้คะแนนเฉลี่ยระดับ “Good Practice

    จากทั้งหมด 225 บริษัทไทยที่ได้รับการประเมินโดย FTSE Russell มีบริษัทไทยถึง 121 บริษัท (กว่า 50%) ที่ได้คะแนนระดับ Good Practice หรือคะแนนเฉลี่ยตั้งแต่ 3.0 ขึ้นไป นับว่าเป็นสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับมาเลเซียและไต้หวัน แม้ว่าจะเป็นการประเมินปีแรกของไทยก็ตาม ในขณะที่มีบริษัทเพียง 31% ในดัชนี FTSE4Good Emerging Index¹ ที่ได้คะแนนมากกว่า 3.0 สะท้อนให้เห็นว่าบริษัทไทยจำนวนมากมีความมุ่งมั่นในการดำเนินงานด้านความยั่งยืนและสามารถเปิดเผยข้อมูลได้สอดคล้องกับมาตรฐานการประเมินของ FTSE Russell

  •  มิติบรรษัทภิบาล (Governance: G) เป็นมิติที่ได้คะแนนเฉลี่ยสูงที่สุด

    จากผลประเมินรายมิติ ESG พบว่า บริษัทจดทะเบียนไทยได้คะแนนเฉลี่ยในมิติบรรษัทภิบาลสูงถึง 4.2 จากคะแนนเต็ม 5 โดยกว่า 75% ของบริษัทจดทะเบียนได้คะแนนเฉลี่ยตั้งแต่ 4.0 ขึ้นไป ซึ่งถือว่าบริษัทไทยทำคะแนนได้ดีกว่าคะแนนเฉลี่ยรวมของโลกและกลุ่มประเทศเกิดใหม่ แสดงให้เห็นว่าบริษัทสามารถเปิดเผยข้อมูล “G” ได้ค่อนข้างครบถ้วน เช่น ข้อมูลจำนวน ความเป็นอิสระ ความหลากหลาย และผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการ ซึ่งอาจเป็นผลมาจากเกณฑ์การประเมินของ FTSE Russell ESG Scores ค่อนข้างสอดคล้องกับเกณฑ์ของหน่วยงานกำกับดูแลและแนวทางการประเมินของ Raters ในประเทศไทย เช่น เกณฑ์การเปิดเผยข้อมูลตามแบบ 56-1 One Report ของสำนักงาน ก.ล.ต. และเกณฑ์การประเมินการสำรวจการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียน (Corporate Governance Report of Thai Listed Companies: CGR) ของสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (Thai Institute of Directors: IOD) จึงเปรียบเสมือนว่าบริษัทไทยได้มีโอกาสเตรียมตัวให้พร้อมมาล่วงหน้าหลายปีแล้วจึงทำให้ผลคะแนนออกมาในระดับดี

  • บริษัทไทยยังต้องเร่งพัฒนาในมิติสิ่งแวดล้อม (Environment: E)

    มีบริษัทไทยถึง 158 บริษัทได้คะแนนเฉลี่ยในมิติสิ่งแวดล้อมน้อยกว่า 3 คะแนน คิดเป็นกว่า 70% ของจำนวนบริษัทไทยที่ได้รับการประเมินโดย FTSE Russell หากวิเคราะห์ในเชิงลึกจะพบว่า บริษัทไทยส่วนใหญ่ยังไม่คุ้นเคยกับตัวชี้วัดในมิติสิ่งแวดล้อม เช่น การประเมินคู่ค้าในห่วงโซ่อุปทานในเป็นประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม การบริหารความเสี่ยงด้าน Climate Change เป็นต้น อย่างไรก็ดี ในภาพรวมยังถือว่าบริษัทไทยทำคะแนนในมิตินี้ได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยของบริษัทใน FTSE4Good Emerging Index¹

 

 

วิเคราะห์จุดแข็ง ปิดช่องโหว่ ด้วยผลประเมิน FTSE Russell ESG Scores

การประเมิน FTSE Russell ESG Scores ปี 2567 นับเป็นก้าวแรกของบริษัทจดทะเบียนไทยบนเส้นทางแห่งความยั่งยืนตามมาตรฐานการประเมินสากล บริษัทไทยจึงควรใช้ผลประเมินเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการวิเคราะห์จุดแข็งและปิดช่องโหว่ เพื่อยกระดับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนให้เกิดประโยชน์ต่อบริษัทและผู้มีส่วนได้เสียในระยะยาว

พัฒนาจุดแข็ง: ส่อง 4 Theme โดดเด่นสำหรับบริษัทจดทะเบียนไทย

  1. การต่อต้านการทุจริต (Anti-Corruption)
    บริษัทส่วนใหญ่มีนโยบายและมาตรการครอบคลุมเรื่องการให้สินบนและต่อต้านการทุจริต มีการฝึกอบรมและสื่อสารแก่พนักงานทุกคน ตลอดจนมีกลไก whistleblowing ที่ไม่เปิดเผยตัวตนของผู้แจ้งเบาะแสอยู่แล้ว อย่างไรก็ดี บริษัทสามารถพัฒนาเพิ่มเติมโดยประเมินพันธมิตรทางธุรกิจในเรื่องความเสี่ยงจากการทุจริตด้วย

  2. การกำกับดูแลกิจการ (Corporate Governance)
    ผลการประเมินแสดงให้เห็นว่า บริษัทจดทะเบียนไทยเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับคณะกรรมการบริษัทได้ครบถ้วน เช่น จำนวนกรรมการ จำนวนกรรมการหญิง จำนวนกรรมการอิสระ จำนวนการประชุม และอัตราการเข้าประชุม และค่าธรรมเนียมที่จ่ายให้แก่ผู้สอบบัญชี

  3. การบริหารความเสี่ยง (Risk Management)
    บริษัทจดทะเบียนไทยมีนโยบายที่ระบุกรอบการทำงานด้านการบริหารความเสี่ยงที่ครอบคลุมมิติESG พร้อมทั้งรายงานผลการบริหารความเสี่ยงต่อ CEO ตลอดจนมีระบบการบริหารความเสี่ยงตามมาตรฐานสากล อาทิ COSO หรือ ISO31000

  4. มาตรฐานแรงงาน (Labour Standards)
    บริษัทจดทะเบียนไทยส่วนใหญ่มีนโยบายการป้องกันการใช้แรงงานเด็ก แรงงานบังคับ และการเลือกปฏิบัติต่อพนักงาน นอกจากนี้ ยังเปิดเผยสถิติที่เกี่ยวข้องกับแรงงาน เช่น ข้อมูลการฝึกอบรม อัตราการลาออกโดยสมัครใจ สัดส่วนพนักงานผู้พิการ และสัดส่วนพนักงานหญิง เป็นต้น

 

เสริมความแข็งแกร่ง: 4 Theme ที่บริษัทจดทะเบียนไทยควรเร่งพัฒนา

  1. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)
    บริษัทจดทะเบียนไทยควรกำหนดแนวทางการกำกับดูแล กลยุทธ์และแผนการทำงานเพื่อบริหารความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจาก Climate Change ตลอดจนวัดผลการดำเนินงานที่เกิดขึ้นให้เห็นเป็นรูปธรรม โดยอาจยึดตามคำแนะนำในการเปิดเผยข้อมูลของ Task Force on Climate Finance Disclosure (TCFD) ซึ่งเป็นพื้นฐานของมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน IFRS Sustainability Disclosures Standards – Climate-related Disclosures หรือ IFRS S2

  2. การบริหารจัดการน้ำ (Water Security)
    บริษัทจดทะเบียนควรกำหนดนโยบายและผลการดำเนินการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ ตั้งเป้าหมายและกรอบเวลาที่ชัดเจนในการลดปริมาณการใช้น้ำ รวมถึงการดำเนินงานร่วมกับผู้มีส่วนได้เสียในการลดการใช้น้ำในบริเวณพื้นที่ขาดแคลนน้ำ (Water stress sites)

  3. ห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain)
    เพราะคู่ค้าส่งผลโดยตรงต่อการดำเนินงานของธุรกิจ บริษัทจึงควรพัฒนาการทำงานร่วมกับคู่ค้าตลอดห่วงโซ่อุปทานให้ครอบคลุมประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม (เพิ่มเติมจากการทำงานในประเด็นด้านสังคมที่บริษัทไทยมักดำเนินการกันอยู่แล้ว) เช่น ปรับปรุงนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและการประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดจากคู่ค้าให้ครอบคลุมประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สื่อสารและอบรมนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมให้แก่คู่ค้า รวมถึงติดตามการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมของคู่ค้าผ่าน On-Site Audits ตลอดจนระบุแนวทางการดำเนินการในกรณีที่คู่ค้าละเมิดแนวปฏิบัติไว้ด้วย

  4. สุขอนามัยและความปลอดภัย (Health & Safety)
    บริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ยังขาดการระบุบทบาทของคณะกรรมการที่กำกับดูแลในด้านดังกล่าว รวมถึงยังไม่ได้ระบุกระบวนการติดตามผลการดำเนินงานและความคืบหน้าโดยเปรียบเทียบกับเป้าหมาย นอกจากนี้ บริษัทยังควรเปิดเผยสถิติสำคัญในด้านสุขอนามัยและความปลอดภัย เช่น จำนวนพนักงานที่ได้รับการฝึกอบรมในด้านดังกล่าว และข้อมูลอุบัติเหตุที่นำไปสู่การบาดเจ็บหรือการเสียชีวิต เป็นต้น

 

ก้าวต่อไปของการนำ FTSE Russell ESG Scores ไปใช้: ควรโฟกัสจุดไหน

แม้ว่าผลประเมินจาก FTSE Russell จะเป็นกรอบอ้างอิงที่เป็นประโยชน์ในการช่วยบริษัทจดทะเบียนไทยพัฒนาและปรับปรุงการดำเนินงานให้สอดคล้องกับมาตรฐานการประเมินความยั่งยืนในระดับสากล และยังเป็นตัวช่วยให้บริษัททราบทิศทาง แนวโน้ม ความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อนำไปยกระดับการดำเนินงานของบริษัทอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ในบาง Theme ที่ FTSE Russell ไม่ได้ประเมินบริษัท ไม่ได้หมายความว่าบริษัทไม่ต้องดำเนินการ หากบริษัทวิเคราะห์แล้วพบว่าประเด็นเหล่านั้นมีสาระสำคัญ (Material Issue) ต่อธุรกิจ บริษัทควรวางกลยุทธ์และแผนการดำเนินงานให้ครอบคลุมการบริหารความเสี่ยงและโอกาสด้าน ESG ในทุกประเด็นสำคัญด้วย

ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงได้เน้นย้ำว่า ผลคะแนนไม่ควรเป็นเป้าหมายสูงสุด คุณค่าที่แท้จริงของการประเมินคือการใช้ผลคะแนนเป็นเครื่องมือหนึ่งในการผลักดันให้เกิดการลงมือพัฒนาและปรับปรุงต่อเนื่องให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม แม้คะแนนที่ได้รับเป็นตัวบ่งชี้ในเบื้องต้นว่าบริษัทมีการดำเนินงานด้าน ESG แต่การยกระดับการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ระดับนโยบาย กลยุทธ์ แผนการดำเนินงาน ไปจนถึงการพัฒนาผลการดำเนินงานที่เกิดขึ้นจริงยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

สำหรับนักลงทุน นักลงทุนควรนำข้อมูลหลายส่วนมาพิจารณาประกอบกันในการตัดสินใจลงทุน ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลผลการดำเนินงานทางการเงิน กลยุทธ์การปรับธุรกิจตามเทรนด์ การบริหารจัดการปัจจัยความเสี่ยงและโอกาสในประเด็นต่าง ๆ ไปจนถึงผลการดำเนินงานด้าน ESG เพื่อให้สามารถประเมินสถานการณ์และตัดสินใจลงทุนบนพื้นฐานของข้อมูลที่เกิดขึ้นแล้วในอดีตและข้อมูลที่จะช่วยสะท้อนทิศทางการดำเนินงานในอนาคตด้วย จึงจะเป็นการใช้ข้อมูล ESG ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ใช้งานอย่างแท้จริง

 

 

 


¹ FTSE4Good Emerging Index เป็นดัชนีความยั่งยืนของ FTSE Russell ที่ประกอบด้วยหุ้นจากประเทศในตลาดเกิดใหม่ทั้งหมด 23 ประเทศ เช่น ประเทศบราซิล อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเม็กซิโก เป็นต้น