Topic

CG Today: “ประธานกรรมการบริษัท” ประชุมผู้ถือหุ้น “ผิดกฎหมาย/ข้อบังคับบริษัทมหาชน”

“บริษัทมหาชน” มีหลักเกณฑ์ที่ “กรรมการบริษัท” ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย อยู่ 2 เรื่อง คือ (1) กฎหมายบริษัทมหาชน (2) ข้อบังคับบริษัท ที่จดทะเบียนไว้กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า หากเป็น “บริษัทมหาชน” ที่เป็น “บริษัทจดทะเบียน” ในตลาดหลักทรัพย์จะมีอีกหลายเรื่องที่ “กรรมการบริษัท” จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับบริษัท เช่น กฎตลาดทุนตามประกาศ คำสั่งของ ก.ล.ต. ข้อบังคับการซื้อขายหลักทรัพย์ของตลาดหลักทรัพย์ รวมถึง “กฎบัตร” เกี่ยวกับการประชุมของคณะกรรมการและผู้ถือหุ้นของบริษัทจดทะเบียน

ประเด็นที่น่าสนใจสำหรับ “ลำดับศักดิ์ของการปฏิบัติตามกฎหมาย” เมื่อมีความแตกต่างกันระหว่าง “กฎหมายบริษัทมหาชน” และ “ข้อบังคับบริษัทมหาชน” กรรมการบริษัทจะต้องปฏิบัติตาม “กฎหมาย” หรือ “ข้อบังคับ” ลำดับใดก่อนหลังเพื่อให้ไม่ขัดต่อกฎหมาย

กรณีศึกษารายนี้ เป็นคดีที่ “บริษัทจดทะเบียน” ในตลาดหลักทรัพย์มีการประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อแต่งตั้ง “กรรมการเข้าใหม่” ในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ปี 2560 วาระ “อนุมัติ” แต่งตั้งกรรมการบริษัท ในที่ประชุมผู้ถือหุ้น “ประธานกรรมการบริษัท” สั่งให้จัดทำ “ใบลงคะแนนเลือกตั้งกรรมการ” โดยมี “คะแนนเสียง” เท่ากับ “จำนวนหุ้นที่ถือ” คูณด้วย “จำนวนกรรมการ” ที่เลือก (Cumulative Vote) โดยอ้างอิงกฎหมายบริษัทมหาชน แต่ “ข้อบังคับบริษัท” ที่จดทะเบียนไว้กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กำหนดการออกเสียงลงคะแนนอีกแบบหนึ่ง คือ กำหนดให้ “ผู้ถือหุ้นคนหนึ่ง” มี “คะแนนเสียง” เท่ากับ “หนึ่งหุ้นต่อหนึ่งเสียง”(One Share One Vote)

“ประธานกรรมการบริษัท” รวมทั้ง “กรรมการบริษัท” และ “ผู้บริหาร” หลายคนถูกฟ้อง “คดีอาญา” จาก “ผู้ถือหุ้นเสียงข้างน้อย” ว่ากระทำผิด “กฎหมายหลักทรัพย์” และ “กฎหมายบริษัทมหาชน” กรณีประชุมผู้ถือหุ้นขัดต่อกฎหมายและข้อบังคับบริษัท นอกจากนั้น สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ได้ออกคำสั่งกล่าวโทษ “ประธานกรรมการบริษัท” กระทำผิด “ข้อบังคับบริษัท” อีกด้วย

น่าสนใจว่าระหว่างการประชุมผู้ถือหุ้น “ที่ปรึกษากฎหมาย” และ “เลขานุการบริษัท” ที่ร่วมประชุมด้วยไม่ได้ให้ “ความเห็นทางกฎหมาย” หรือ “การปฏิบัติตามหลักการกำกับดูแลที่ดี” ในการปฏิบัติตาม “ข้อบังคับบริษัท” ในประเด็นพิพาททางกฎหมายนี้หรือ? ทั้งที่มีการคัดค้านจากผู้ถือหุ้นเสียงข้างน้อยที่ฟ้องคดีนี้อยู่ในที่ประชุมผู้ถือหุ้นดังกล่าว

เบื้องหลังของคดีนี้ กลุ่มผู้ถือหุ้นที่เป็น “ประธานกรรมการบริษัท” และเป็น “ผู้บริหารบริษัท” ด้วย มีข้อพิพาทกับผู้ถือหุ้นกลุ่มอื่น กระทบต่อกิจการของบริษัทจนกระทั่ง “ผู้สอบบัญชี” ไม่ให้ความเห็นใน “งบการเงิน” ของบริษัทติดต่อกันถึง 3 ปี ปัจจุบันบริษัทมหาชนรายนี้ถูกตลาดหลักทรัพย์สั่งเพิกถอนการเป็น “บริษัทจดทะเบียน” ในตลาดหลักทรัพย์ไปแล้วตั้งแต่ปี 2567 คดีความต่าง ๆ เกี่ยวกับบริษัทนี้ รวมถึงกรรมการบริษัท และ ผู้บริหาร ที่ถูกฟ้องร้องเป็นคดีในศาลค่อยปรากฏสู่ตลาดทุนและสังคมในวงกว้างให้ศึกษาถึงการปฏิบัติตามกฎหมาย และข้อผิดพลาดที่เป็นบทเรียน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ขึ้นอีกในอนาคต

สาระสำคัญของคดีที่เป็นกรณีศึกษานี้ สำหรับกรรมการบริษัท คือ “กฎหมายบริษัท” กับ “ข้อบังคับบริษัท” หลักเกณฑ์ใด “มีอำนาจเหนือกว่ากัน” แน่นอนว่า “กฎหมาย” ย่อมเหนือกว่า “ข้อบังคับบริษัท” หากมีประเด็นขัดแย้งกัน อย่างไรก็ตาม กฎหมายบริษัทสามารถผ่อนคลายบางประเด็นโดยยอมให้บริษัทกำหนด “ข้อบังคับ” ไว้แตกต่างจาก “กฎหมาย” ได้ตราบที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย และไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยศีลธรรมอันดีของประชาชน ดังเช่นการออกเสียงของผู้ถือหุ้นเพื่อแต่งตั้งกรรมการบริษัทในคดีนี้

ในที่สุดศาลตัดสินว่า “ประธานกรรมการบริษัท” ผิดกฎหมายไม่ปฏิบัติตาม “ข้อบังคับบริษัท” แม้ว่าจะใช้เสียงผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ในที่ประชุมเพื่อไม่ปฏิบัติตาม “ข้อบังคับบริษัท” แต่ “ข้ามไปใช้วิธีออกเสียงลงคะแนนตามกฎหมายบริษัทมหาชน” ทั้งที่ “ข้อบังคับบริษัท” ได้ผ่านการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นมาก่อนที่จะไปจดทะเบียนข้อบังคับกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า นอกจากนั้น ศาลยังตัดสินว่า “ประธานกรรมการบริษัท” ยังมีอีกตำแหน่งคือ “ผู้บริหารบริษัท” ไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ความระมัดระวัง (Duty of Care) และความซื่อสัตย์สุจริต (Duty of Loyalty) ตามกฎหมายหลักทรัพย์

 

โดยสรุป “ประธานกรรมการบริษัท” รายนี้กระทำผิดกฎหมายหลายเรื่อง ทั้งที่ “ผู้ถือหุ้นเสียงข้างน้อย” ได้คัดค้านในที่ประชุมผู้ถือหุ้น และระหว่างความขัดแย้งของผู้ถือหุ้น ก.ล.ต. ได้กล่าวโทษประธานกรรมการและผู้บริหารหลายคน รวมทั้งมีคำพิพากษาศาลในอีกคดีเพิกถอนมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นแต่งตั้งกรรมการบริษัท

 


 

เขียนโดย
ชินภัทร วิสุทธิแพทย์

จัดทำโดย
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย