Topic

CG Today: “กรรมการบริษัท” มีอำนาจลงนาม “สัญญาค้ำประกัน” หรือไม่?

Ultra Vires เป็น “หลักการสำคัญ” กำหนดความสัมพันธ์ทางกฎหมายระหว่าง “บริษัท” และ “กรรมการบริษัท” ในฐานะผู้แทนบริษัท ห้ามกระทำการนอกขอบเขตอำนาจของผู้แทนบริษัท หลักการนี้ตรงข้ามกับ Intra Vires กรรมการบริษัทกระทำการภายในขอบเขตอำนาจตามกฎหมาย ที่สำคัญกว่านั้น กรรมการบริษัททำหน้าที่อยู่บนหลัก Fiduciary Duty อาศัย “หลักความไว้วางใจ” ที่ผู้ถือหุ้นมอบหมายให้กรรมการบริษัททำหน้าที่แทน ดังนั้นจึงต้องเข้าใจถึงความสามารถของบริษัทในฐานะ “ตัวการ” ในการทำกิจการของบริษัท โดยดูได้จาก “วัตถุประสงค์บริษัท” ใน “หนังสือรับรองบริษัท” ที่จดทะเบียนกับราชการ

หากกรรมการไม่ได้ทำหน้าที่อยู่บน “หลักความระมัดระวัง” (Duty of Care) ไม่ได้ตรวจสอบ “วัตถุประสงค์บริษัท” และพลาดไม่ได้ทบทวน “ขอบเขตอำนาจ” ของกรรมการบริษัทก่อนตัดสินใจอนุมัติกิจการใดแทนบริษัท ผลที่ตามมาจะกลายเป็นการกระทำของกรรมการบริษัทขัดต่อกฎหมาย เมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นกับบริษัทหรือบุคคลภายนอก กรรมการต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว (Personal Liability) ที่สำคัญมากไปกว่านั้น บริษัทและผู้ถือหุ้นไม่สามารถ “ให้สัตยาบัน” ยอมรับเอาผลการกระทำที่ผิดกฎหมายของกรรมการบริษัทมาใช้ผูกพันบริษัทได้

ในอดีตเคยมีบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง “ค้ำประกัน” บริษัทในเครือ 2 รายเพื่อกู้ยืมเงินธนาคาร แต่ธนาคารปฏิเสธการค้ำประกันและไม่ปล่อยเงินกู้ให้กับบริษัทในเครือ ธนาคารอ้างเหตุว่า “มติคณะกรรมการบริษัท” ขัดต่อกฎหมายที่บังคับใช้กับบริษัท เพราะบริษัทมหาชนในกรณีนี้ไม่มี “วัตถุประสงค์บริษัท” ค้ำประกันบริษัทอื่น ดังนั้น กรรมการบริษัทจึงไม่มีอำนาจอนุมัติค้ำประกัน (Ultra Vires) ในกิจการที่บริษัททำไม่ได้ และบริษัทไม่สามารถให้สัตยาบันต่อการค้ำประกันตามมติคณะกรรมการบริษัทอันเป็นกิจการนอกวัตถุประสงค์บริษัท

อีกกรณีหนึ่ง คดีฟ้อง “บริษัทผู้ค้ำประกัน” ให้รับผิดชำระหนี้เงินกู้ 200 กว่าล้านบาท โดยรับผิดร่วมกับ “ลูกหนี้ชั้นต้น” ที่เป็นลูกหนี้เงินกู้ธนาคาร แม้ว่ากรรมการของบริษัทผู้ค้ำประกันจะลงนามใน “สัญญาค้ำประกัน” แต่สัญญาค้ำประกันที่กรรมการบริษัทลงนามสัญญานั้น ไม่ผูกพัน “บริษัทผู้ค้ำประกัน” ให้ต้องรับผิดชำระหนี้

ตามกฎหมาย เมื่อบริษัทจะค้ำประกันบุคคลอื่น เพื่อรับผิดชำระหนี้แทนบุคคลอื่น คณะกรรมการบริษัทจะต้องประชุมร่วมกันเพื่อลงมติ และนำ “รายงานการประชุมคณะกรรมการบริษัท” ไปผูกพันตนค้ำประกันรับใช้หนี้แทนคนอื่น กรณีตัวอย่างนี้คือธนาคารเจ้าหนี้เงินกู้ ขายลูกหนี้ให้แก่ “บริษัทบริหารสินทรัพย์” ซึ่งเป็น “เจ้าหนี้ใหม่” เป็นผู้ซื้อลูกหนี้เงินกู้ธนาคาร เจ้าหนี้ใหม่ไม่ได้ตรวจสอบเอกสารทางกฎหมาย (Legal Due Diligence) ที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนก่อนการซื้อขายลูกหนี้

หลังการซื้อขายลูกหนี้ เจ้าหนี้ใหม่ได้ฟ้องคดี “ลูกหนี้เงินกู้” และ “บริษัทผู้ค้ำประกัน” ให้ชำระหนี้ในฐานะ ลูกหนี้ร่วม ตามสัญญาค้ำประกัน ซึ่งบริษัทผู้ค้ำประกันได้ต่อสู้คดีโดยอ้างเหตุผลที่ไม่ต้องรับผิด เนื่องจากบริษัทไม่มีวัตถุประสงค์ในเรื่องการค้ำประกัน ดังนั้นกรรมการบริษัทลงนามสัญญาค้ำประกันโดยไม่มีอำนาจทำสัญญา แต่เจ้าหนี้ใหม่โต้แย้งว่า “การลงนามสัญญาค้ำประกันของกรรมการบริษัท” ถือว่าบริษัทได้ให้สัตยาบันในสิ่งที่กรรมการบริษัท (ผู้แทน) ได้ลงนามสัญญาค้ำประกันแล้ว และยังคงเรียกร้องให้บริษัทผู้ค้ำประกันรับผิดชอบหนี้สินตามสัญญาเงินกู้

ศาลตัดสินว่า “การให้สัตยาบัน” ของบริษัทหรือผู้ถือหุ้น ไม่ว่าการให้สัตยาบันโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยาย ต้องเกิดขึ้นภายหลังนิติกรรมสัญญาที่ได้ทำไปแล้ว ไม่ใช่ขณะลงนามทำสัญญา ที่สำคัญมากไปกว่านั้น บริษัทไม่มีวัตถุประสงค์ “ค้ำประกัน” จึงไม่มีอำนาจทำสัญญาตั้งแต่ต้น การให้สัตยาบันจึงทำไม่ได้ บริษัทผู้ค้ำประกันจึงไม่ต้องรับผิด

ผลของคำพิพากษาศาล “บริษัทผู้ค้ำประกัน” รอดตัวไม่ต้องรับผิดจากกรณีที่กรรมการบริษัทกระทำการนอกขอบเขตอำนาจกรรมการ (Ultra Vires) จึงไม่มีผลผูกพันบริษัท แต่บริษัทบริหารสินทรัพย์ที่เป็นเจ้าหนี้ใหม่และเป็นผู้เสียหายนั้น ตามกฎหมายแล้วถือเป็น “บุคคลภายนอก” ยังมีสิทธิไล่เบี้ย ฟ้องร้องกรรมการบริษัทที่ลงนามในสัญญาค้ำประกันที่ตนเองไม่มีอำนาจกระทำการ โดยให้กรรมการรับผิดส่วนตัวได้ อย่างไรก็ตาม “บุคคลภายนอก” ต้องพิจารณาเรื่อง “อายุความ” ในการฟ้องร้องคดีกับกรรมการบริษัทที่กระทำการนอกอำนาจสร้างความเสียหายเป็นหลักในการดำเนินคดีด้วย

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า (1) กรรมการบริษัทจะ “อนุมัติ” หรือ “ลงนาม” เรื่องใดควรตรวจสอบอำนาจกระทำการก่อน (2) ธนาคารหรือเจ้าหนี้ ก่อนให้กู้ยืมเงิน/สินเชื่อควร KYC: Know Your Customer และ CDD: Customer Due Diligence และตรวจสอบ “วัตถุประสงค์บริษัท” ของบริษัทลูกหนี้ รวมถึงบริษัทผู้ค้ำประกันให้ถี่ถ้วน (3) กรรมการบริษัทหรือผู้ลงนามมีอำนาจตามกฎหมายทำสัญญาผูกพันบริษัทได้หรือไม่ (4) เจ้าหนี้ใหม่ที่ซื้อลูกหนี้ควรตรวจสอบกิจการเชิงลึก (Legal Due Diligence) ของลูกหนี้/ผู้ค้ำประกันว่ามี “ข้อบกพร่องทางกฎหมาย” ที่มีผลต่อการบังคับใช้กฎหมาย และ “มูลค่าสินทรัพย์” ที่ซื้อมา เพื่อใช้เป็น “เงื่อนไขราคาสินทรัพย์” รวมถึงการชำระค่าตอบแทนค่าซื้อลูกหนี้ เมื่อตรวจสอบแล้ว พบว่าไม่ถูกต้องครบถ้วน คู่สัญญาอาจกำหนดให้มี “เงื่อนไขบังคับก่อน” (Condition Precedent) เพื่อให้นิติกรรมสัญญามีผลบังคับเมื่อเงื่อนไขนั้นถูกต้องครบถ้วนแล้ว หากตรวจสอบกิจการเพียงผิวเผินจะ “พลาดใหญ่” เช่นกรณีศึกษานี้

 


 

เขียนโดย
ชินภัทร วิสุทธิแพทย์

จัดทำโดย
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย