Topic

CG Today: กรรมการบริษัท...เช่าอาคารของครอบครัวนาน 90 ปี

เรื่องที่น่าสนใจนำมาเป็นกรณีศึกษาสำหรับกรรมการบริษัทนี้ เกิดขึ้นช่วงวิกฤตการณ์ด้านการเงินในปี 2540 ส่งผลให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์รายนี้ถูกฟ้องล้มละลาย และกลายเป็นประเด็นถกเถียงกันถึงบทบาทหน้าที่ของกรรมการบริษัทที่มีส่วนร่วมรับรู้ในธุรกรรมน่าสงสัย โดยเฉพาะการทำหน้าที่ของ “กรรมการตรวจสอบ” ในการให้ความเห็นต่อธุรกรรมที่เป็นรายการเกี่ยวโยงกันตามกฎหมายหลักทรัพย์

ประเด็นการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียนรายนี้ นำมาสู่การวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้างทั้งในประเทศไทยและขยายออกไปจนถึงสื่อต่างประเทศ เช่น The Economist ได้วิเคราะห์และเผยแพร่เรื่องความล้มเหลวของการกำกับดูแลกิจการในเอเชีย เปรียบเทียบการจัดการแก้ไขปัญหานี้ใน ไทย อินโดนีเซีย  และ สิงคโปร์ โดยวิเคราะห์ถึงการทำหน้าที่ให้ “ความเห็นของกรรมการ” ต่อธุรกรรมที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษว่าได้ใช้ความระมัดระวัง (Duty of Care) ในการกำกับดูแลมากน้อยเพียงใด

หลังจาก The Economist ได้เผยแพร่บทวิเคราะห์นี้ออกไปแล้ว ต่อมากรรมการบริษัทรายนี้ได้ฟ้องคดีอาญา The Economist ฐานหมิ่นประมาท ทำให้กรรมการเสียหาย เสียชื่อเสียง ซึ่งมีการฟ้องคดีในศาลหลายแห่ง ทั้งคดีแพ่ง คดีล้มละลาย และคดีอาญา ซึ่งจะนำมาวิเคราะห์ในที่นี้


การวิเคราะห์เปรียบเทียบ การกำกับดูแลกิจการ เริ่มต้นจาก กรรมการบริษัทรายนี้ซึ่งเป็น กรรมการบริหาร (Executive Director) ที่มีอำนาจบริหารจัดการในบริษัท และมีอำนาจลงนามผูกพันบริษัท ได้เข้าทำสัญญาเช่าอาคารสำนักงานของบริษัทกับครอบครัวตนเอง โดยมีสัญญาเช่ายาวนานถึง 90 ปี และจ่าย ค่าเช่าล่วงหน้า 90 ปีเป็นเงินก้อนเดียว 268 ล้านบาทในช่วงปี 2540

ประเด็นสำคัญ คือ สิทธิการเช่าระยะยาว 90 ปีนี้จัดเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตน (Intangible Asset) ในงบดุลของบริษัท แต่ผู้สอบบัญชีไม่รับรองความถูกต้องของทรัพย์สินดังกล่าวและไม่แสดงความเห็นในงบการเงินของบริษัท เนื่องจากผู้สอบบัญชีสงสัยในประเด็น เรื่องความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (Conflict of Interest) ระหว่างกรรมการบริหารและบริษัทของครอบครัวกรรมการ และเห็นแย้งกับความเห็นของกรรมการบริหารที่ยืนยันถึงความมีอยู่จริงและมูลค่าของสิทธิการเช่าระยะยาว 90 ปี

ในที่สุด ศาลตัดสินคดีอาญาข้อหาหมิ่นประมาทว่าการกระทำของ The Economist ไม่ผิดกฎหมาย เพราะเป็นการนำเสนอข่าวโดยสรุป ไม่ได้ลงรายละเอียด มิได้กล่าวเกินเลยไปจากข้อเท็จจริงที่มีอยู่ อีกทั้ง ความผิดปกติของธุรกรรมรายการเกี่ยวโยงกันเป็นเรื่องที่วิญญูชนทั่วไปสามารถรับรู้ได้ การเผยแพร่ข่าวสารของ The Economist กล่าวโดยรวม ไม่ได้เจาะจงกล่าวถึงการกระทำของกรรมการบริหารแต่เพียงอย่างเดียว โดยศาลให้เหตุผลว่าการกระทำของ The Economist ไม่ได้วิเคราะห์และเผยแพร่ข่าวโดยมีเจตนาร้าย หากแต่เป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริต ติ ชม ด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำได้





บทเรียนสำหรับกรรมการบริษัทจากกรณีศึกษานี้

  1. รายการเกี่ยวโยงกัน และ ความขัดแย้งทางผลประโยชน์

    ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ โดยหลักการเป็นการกระทำที่ไม่ผิดกฎหมาย เพียงแต่ต้องเปิดเผย โดยเงื่อนไขรายการต้องเป็นข้อตกลงที่มีกันทั่วไปในตลาด (Market Term) และมีราคาตลาดบนพื้นฐานของคู่สัญญาที่มีอิสระต่อกัน ประกอบกับต้องมีเอกสารหลักฐานทางกฎหมายรองรับความมีอยู่จริงของธุรกรรมนั้น นอกจากนั้น กรรมการตรวจสอบ ของบริษัทจดทะเบียนต้องให้ความเห็นต่อธุรกรรมนั้นก่อนเสมอตามกฎหมายหลักทรัพย์ หาก “ขนาดรายการ” ที่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์มีขนาดสูง กรรมการบริษัทไม่สามารถทำนิติกรรมสัญญานั้นได้ ต้องผ่านความเห็นชอบยินยอมจากผู้ถือหุ้นก่อน โดยมีความเห็นของที่ปรึกษาการเงินอิสระให้คำแนะนำต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นก่อนเสมอ

  2. สัญญาเช่าระยะยาว 90 ปี จ่ายค่าเช่าล่วงหน้าทั้งหมดในคราวเดียว

    จากกรณีตัวอย่างนี้ “ผู้ให้เช่า” เป็นบริษัทของครอบครัวกรรมการ และ “ผู้เช่า” เป็นบริษัทจดทะเบียนที่กรรมการบริหารเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ จัดเป็น “บุคคลที่เกี่ยวโยงกัน” เมื่อทำสัญญาเช่าระหว่างกัน กรรมการตรวจสอบควรมีคำถาม รวมถึงการให้ความเห็นถึงความถูกต้องตามกฎหมายของสัญญาเช่าที่ดิน/อาคารที่นานกว่า 30 ปี ที่สำคัญ คือ การจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าก้อนเดียวมูลค่าสูงและผูกพันบริษัทยาวนานไปถึง 90 ปีมีความเหมาะสมเพียงใด หากกรรมการตรวจสอบให้ความเห็นไม่ได้ ควรจัดหาที่ปรึกษากฎหมายให้ความเห็นกฎหมายในประเด็นนี้ก่อนทำธุรกรรมดังกล่าว

    ในปี 2566 มีคดีสัญญาเช่านาน 60 ปีที่ศาลตัดสินว่าใช้บังคับไม่ได้ เพราะขัดต่อกฎหมาย คู่สัญญาผูกพันกันเฉพาะ 30 ปีแรกเท่านั้น ดังนั้น กรรมการตรวจสอบควรให้ความสำคัญต่อประเด็นที่น่าสงสัยในรายการที่เกี่ยวโยงกัน โดยแสดงความคิดเห็นให้ชัดเจนและอ้างอิงไว้ในรายงานการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบ เพื่อรายงานต่อคณะกรรมการบริษัทและผู้ถือหุ้นตามลำดับ

  3. ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นในงบการเงิน

    งบการเงินที่ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็น เท่ากับผู้สอบบัญชีได้แสดงตนว่าจะไม่รับผิดชอบต่อความถูกต้องของมูลค่าทรัพย์สิน (สิทธิการเช่าระยะยาว 90 ปี) ในงบการเงินดังกล่าว อันมีผลเท่ากับว่าเป็นงบการเงินที่ฝ่ายบริหารและกรรมการบริษัท จัดทำขึ้นและรับผิดชอบในความถูกต้องแต่เพียงฝ่ายเดียว ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลทางการเงินตามมาตรฐานบัญชี

    คณะกรรมการตรวจสอบควรใช้เหตุการณ์ที่ผู้สอบบัญชีไม่ให้ความเห็นต่องบการเงิน เป็นเหตุผลในการทำหน้าที่ของกรรมการตรวจสอบ ตั้งคำถามและให้ความเห็นต่อกรรมการบริษัท ในประเด็นความเห็นที่แย้งกันระหว่างความเห็นของกรรมการบริหารและความเห็นของผู้สอบบัญชี ว่ากรรมการตรวจสอบมีความเห็นไปในทิศทางใด เพื่อรักษาผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสียที่ใช้งบการเงินของบริษัทได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

  4. การใช้สิทธิของสื่อมวลชนเพื่อตรวจสอบการทำงานของกรรมการบริษัท

    การทำงานของสื่อสารมวลชนที่ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้เสียในกิจการของบริษัทจดทะเบียน สามารถใช้ตรวจสอบการกำกับดูแลกิจการของกรรมการบริษัทได้นอกเหนือจากงบการเงินของบริษัท ดังตัวอย่างของ The Economist ที่ยกมาเป็นกรณีศึกษานี้ ทั้งนี้ สื่อสารมวลชนมีหลายประเภท การเลือกข้อมูล บทวิเคราะห์ ผู้ลงทุนต้องใช้วิจารณญาณและตรวจสอบข้อมูลให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจด้วย

    ปัจจุบันสำนักงาน ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ มีการสื่อสารเชิงรุก ให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับบริษัทจดทะเบียนอย่างตรงไปตรงมา กรณีที่มีการฟ้องร้องคดีอาญาฐานหมิ่นประมาทเกี่ยวกับการกำกับดูแลกิจการและการตรวจสอบการทำงานของกรรมการบริษัท เป็นตัวอย่างที่ดีที่ผู้ตรวจสอบกิจการจากภายนอก (Outside Watchdog) จะไม่ถูกหยุดยั้งการทำหน้าที่ตรวจสอบหรือเป็นอุปสรรคการทำงานด้วยคดีอาญาข้อหาหมิ่นประมาทอีกต่อไป

 


 

เขียนโดย
ชินภัทร วิสุทธิแพทย์

จัดทำโดย
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย