Topic

CG Today: กรรมการบริษัท “ลักหุ้น” ผู้ถือหุ้น “รับของโจร” คดีอาญา

“หุ้นบริษัท” เป็นทรัพย์สินประเภทหนึ่งตกทอดทางมรดกได้ ต่างจาก “หุ้นส่วน” ที่เป็นสิทธิตามกฎหมายสัญญาและผูกติดกับบุคคลที่เป็นหุ้นส่วนในการร่วมทุนตามสัญญาหุ้นส่วน เมื่อหุ้นส่วนตาย ความเป็นหุ้นส่วนไม่ตกทอดมรดก ส่งผลให้หุ้นส่วนเลิกกันตามกฎหมาย

แม้ว่าหุ้นบริษัท และหุ้นส่วน สะท้อนความเป็นเจ้าของในกิจการไม่ต่างกัน แต่มีความแตกต่างทางกฎหมาย คือ หุ้นบริษัทใช้เป็นหลักประกัน “จำนำหุ้น” ได้ตามกฎหมายภายใต้สัญญาจำนำหุ้น ด้วยการส่งมอบใบหุ้นให้แก่เจ้าหนี้และบันทึกไว้ในสมุดทะเบียนหุ้นบริษัท ต่างจากความเป็นหุ้นส่วนไม่สามารถจำนำหรือใช้เป็นหลักประกันหนี้ได้ตามกฎหมาย

ผลตอบแทนของหุ้นบริษัท คือ เงินปันผล หลังจากบริษัทได้จ่ายภาษีนิติบุคคลแล้ว ต่างจากหุ้นส่วนมีผลตอบแทนเป็น ส่วนแบ่งกำไร เพราะหุ้นส่วนเป็นสัญญาทางกฎหมาย แยกได้เป็น (1) ห้างหุ้นส่วนแบบไม่จดทะเบียน ไม่มีสถานะนิติบุคคลทางกฎหมาย ใช้สัญญาหุ้นส่วนกำหนดนิติสัมพันธ์ระหว่างกัน (2) ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแยกสถานะทางกฎหมายออกมาจากผู้เป็นหุ้นส่วน

ผู้ถือหุ้นมีความรับผิดทางกฎหมาย จำกัดไม่เกินกว่ามูลค่าหุ้นที่ลงทุนในบริษัท แตกต่างจากหุ้นส่วนที่มีความรับผิดทางกฎหมายไม่จำกัด ไม่ว่าจะเป็นห้างหุ้นส่วนแบบที่ไม่เป็นนิติบุคคลและเป็นนิติบุคคล

“ใบหุ้น” เป็นเอกสารสิทธิที่ออกโดยบริษัท แสดงถึงความเป็นเจ้าของทุนของผู้ถือหุ้นที่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย และเป็นทรัพย์สินของผู้ถือหุ้น สามารถใช้สิทธิเข้าประชุมผู้ถือหุ้น มีอำนาจควบคุมบริษัทผ่านการแต่งตั้ง/ถอดถอนกรรมการบริษัท  และยังเป็นทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดดอกผลตามกฎหมาย คือ เงินปันผล และกำไรเมื่อขายหุ้นนั้นไป

สถานะของผู้ถือหุ้นเริ่มเมื่อลงทุนในบริษัท สิ้นสุดลงเมื่อตาย ขาย โอน หรือบริษัทลดทุนตัดหุ้นทิ้งไป รวมถึงกรณีเจ้าหนี้ใช้สิทธิยึดหุ้นและขายหุ้นทอดตลาด ส่งผลให้สถานะของผู้ถือหุ้นนั้นหมดสิ้นไป ผู้ถือหุ้นต่างจากกรรมการบริษัทและลูกจ้าง ที่ไม่สามารถถูกถอดถอน หรือ เลิกจ้าง หากผู้ถือหุ้นไม่สมัครใจโอนหุ้นให้แก่บุคคลอื่น บริษัทไม่มีอำนาจตามกฎหมายเปลี่ยนชื่อผู้ถือหุ้นได้

 

 

การโอนหุ้นบริษัทมี “แบบตามกฎหมาย” สำหรับ หุ้นที่ระบุชื่อผู้ถือหุ้น ต้องทำ “ตราสารการโอนหุ้น” เป็นหนังสือ ระบุหมายเลขหุ้นที่โอน และลงลายมือชื่อ ผู้โอนหุ้น กับ ผู้รับโอนหุ้น พร้อมพยานอย่างน้อยหนึ่งคน เนื้อหาต้องเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด แม้ไม่มีแบบฟอร์มมาตรฐานตามกฎหมายก็ตาม

หากการโอนหุ้นไม่ทำตามที่กฎหมายกำหนด การโอนหุ้นนั้นเป็น “โมฆะ” ไม่มีผลผูกพันตามกฎหมาย ทั้งนี้ กฎหมายไม่ได้บังคับให้ต้องระบุมูลค่าหุ้นหรือราคาหุ้นที่โอนกันในตราสารการโอนหุ้น ส่วนใหญ่หุ้นบริษัทในประเทศไทยเป็นหุ้นที่ระบุชื่อผู้ถือหุ้น สำหรับหุ้นที่ไม่ระบุชื่อผู้ถือหุ้น สามารถโอนหุ้นได้ด้วยการส่งมอบใบหุ้นเท่านั้น นอกจากนั้น กฎหมายภาษีกำหนดให้ตราสารการโอนหุ้นต้องเสียภาษีอากรแสตมป์ และในคดีแพ่งจะใช้ตราสารการโอนหุ้นที่ไม่ติดอากรแสตมป์เป็นพยานหลักฐานไม่ได้
 

เมื่อผู้ถือหุ้นโอนหุ้นถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ต้องนำตราสารการโอนหุ้นนั้นไปจดแจ้งการโอนหุ้นกับนายทะเบียนบริษัท เพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น เพื่อให้บริษัทออกใบหุ้นใหม่และยกเลิกใบหุ้นเดิม จึงจะสามารถนำผลของการเปลี่ยนผู้ถือหุ้นอ้างอิงกับบริษัทหรือบุคคลภายนอกได้ตามกฎหมาย

ในทางปฏิบัติ พบว่ามีความเข้าใจผิดจำนวนมากที่เปลี่ยนแปลงการถือหุ้นเฉพาะใน “บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น” (แบบ บอจ.5) ที่บริษัทใช้ยื่นพร้อมงบการเงินเป็นประจำทุกปีต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ทั้งที่ไม่มีการโอนหุ้นให้ถูกต้องตามกฎหมาย ความเข้าใจผิดเหล่านี้ นำมาสู่คดีความฟ้องร้องบริษัทและกรรมการบริษัทจำนวนมาก ทั้งคดีแพ่งกรณีละเมิด และคดีอาญากรณีลักทรัพย์และรับของโจร

กรณีศึกษาสำหรับกรรมการบริษัทเรื่องหุ้นรายนี้ ดูเหมือนว่าเป็นเรื่องเล็กสำหรับแวดวงธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจครอบครัวที่มีผู้ถือหุ้นเป็นสมาชิกครอบครัว รวมถึงการร่วมหุ้นกับคนนอก แต่กลายเป็นเรื่องใหญ่ถึงขนาดเป็นคดีอาญาส่งผลให้กรรมการบริษัทติดคุกหลายปี

 

 

บริษัทเอกชนรายหนึ่ง คณะกรรมการบริษัทเป็นบุคคลในครอบครัว พ่อเป็นประธานกรรมการบริษัท ลูก 3 คน (นาย A,B,C) เป็นกรรมการบริษัทและเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทด้วย บริษัทนี้มีปัญหาข้อพิพาทกันในสมาชิกครอบครัว ประธานกรรมการบริษัท (พ่อ) สั่งให้กรรมการบริษัท (นาย A นาย B ลูกที่ไม่มีข้อพิพาท) เปลี่ยนชื่อผู้ถือหุ้น (นาย C ลูกที่มีข้อพิพาท) ออกจากบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น และจัดประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อถอดถอน นาย C ออกจากกรรมการบริษัท จากนั้นไปจดทะเบียนแบบ บอจ.5 เพื่อแก้ไขชื่อกรรมการและทะเบียนหุ้นกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า

นาย C ผู้ถือหุ้นในข้อพิพาทรายนี้ ไม่ได้ใช้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายผ่านคดีแพ่งกรณีละเมิด แต่เลือกใช้สิทธิของผู้เสียหายฟ้องคดีอาญากรณี (1) ลักหุ้น (2) ปลอมเอกสารบริษัท คือ เปลี่ยนบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น โดยไม่มีการโอนหุ้นให้ถูกต้องตามกฎหมาย และ (3) ใช้เอกสารปลอม นำบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นปลอมแจ้งต่อราชการ ส่วนการถอดถอนกรรมการบริษัทไม่ได้นำมาเป็นข้อพิพาทในคดี

หุ้นพิพาทที่หายไปจากทะเบียนหุ้นจำนวน 22,000 หุ้น มูลค่าหลายล้านบาทเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำผิดกฎหมาย โดยผู้ถือหุ้นใหม่ นาย A และ B ถูกฟ้องคดีอาญาฐานรับของโจร คดีนี้นาย C ซึ่งเป็น ผู้เสียหายฟ้องคดีอาญาด้วยตนเอง ไม่ได้ผ่านพนักงานสอบสวน (ตำรวจ) และอัยการ ศาลไต่สวนคดีอาญาก่อนรับฟ้อง (ป้องกันฟ้องคดีแกล้งกัน) จากนั้นเข้าสู่กระบวนการศาลอาญา ตั้งแต่ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ จนถึงศาลฎีกา

ระหว่างคดีอาญาตั้งแต่ศาลชั้นต้นจนถึงศาลฎีกาตัดสินคดี พ่อที่ประธานกรรมการบริษัท หนีคดีนาน 10 กว่าปี ตั้งแต่ปี 2550 ไม่เคยมาศาลและไม่สู้คดีตั้งแต่ต้นจนจบ ส่วน นาย A และ B ซึ่งเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นใหม่ ได้บรรเทาความเสียหายด้วยการชดใช้เงินค่าหุ้นหลายล้านบาท รวมถึงค่าเสียหายอีกจำนวนหนึ่งให้แก่ นาย C ที่ถูก “ลักหุ้น”

ศาลฎีกาตัดสินให้ลงโทษจำคุกสูงสุดตามกฎหมาย แต่มีการเยียวยาความเสียหายระหว่างคดี ศาลจึงลดโทษให้ กรรมการและผู้ถือหุ้นใหม่ เหลือครึ่งหนึ่ง โดยมีโทษจำคุก 1 ปี “ฐานลักทรัพย์” ในกรณีเปลี่ยนชื่อผู้ถือหุ้น และจำคุก 9 เดือน “ฐานรับของโจร” สำหรับผู้ถือหุ้นใหม่ที่มีชื่อในทะเบียนหุ้นปลอม ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่า หุ้นนั้นได้มาจากการลักทรัพย์

กรณีศึกษารายนี้ ให้บทเรียนสำคัญต่อความเข้าใจเรื่อง “หุ้นบริษัท” ได้อย่างถ่องแท้สำหรับกรรมการบริษัทที่มีหน้าที่ตามกฎหมายต้องระวังไม่ทำผิดกฎหมายที่มีผลทางแพ่งและทางอาญา โดยเฉพาะการปฏิบัติตามกฎหมายบริษัท (Corporate Law Compliance) เริ่มตั้งแต่การเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้น การประชุมผู้ถือหุ้น การแต่งตั้งกรรมการบริษัท การประชุมกรรมการบริษัท รวมถึงการโอนหุ้นบริษัท หรือสิ้นสภาพการเป็นผู้ถือหุ้น ที่กรรมการบริษัทผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต้องใช้ความระมัดระวังในการกำกับดูแล ไม่ว่าจะเป็นบริษัทเอกชน หรือบริษัทมหาชน

 


 

เขียนโดย
ชินภัทร วิสุทธิแพทย์

จัดทำโดย
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย