Topic

แนวทางดูแลทรัพยากรน้ำ (Water Stewardship) เพื่อความอยู่รอดและยั่งยืนของอุตสาหกรรมอาหาร 

 

โดย
ปิยดา ดิศวัฒน์  
รองผู้จัดการฝ่ายพัฒนาความยั่งยืนองค์กร  
บมจไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ และสมาชิก SET ESG Experts Pool *

*บทความนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง SET ESG Experts Pool และ SET ESG Academy
ในการนำเสนอประเด็น ESG ที่ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจและการลงทุนของไทย



"น้ำ" ความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ในทุกผลิตภัณฑ์อาหาร
 

ในอุตสาหกรรมอาหารที่ต้องใช้น้ำในปริมาณมาก "น้ำ" เป็นตัวแปรสำคัญที่ตัดสินความสามารถในการแข่งขัน และความอยู่รอดของธุรกิจได้ ภาวะความตึงเครียดด้านน้ำ (Water Stress) ซึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเติบโตของภาคอุตสาหกรรม กำลังสร้างแรงกดดันมหาศาลต่อบริษัทต่าง ๆ ตั้งแต่ความเสี่ยงเรื่องวัตถุดิบ ทางการเกษตร 
ไม่เพียงพอ ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ไปจนถึงปัญหาขัดแย้งกับชุมชนในการเข้าถึงแหล่งน้ำ 

ดังนั้น การบริหารจัดการน้ำในยุคนี้จำเป็นต้องพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น จากเดิมที่เน้นการจัดการภายในโรงงาน ก็ต้องก้าวไป 
สู่ "การดูแลทรัพยากรน้ำอย่างรอบด้าน" (Water Stewardship) ซึ่งเป็นแนวคิดที่มองว่าน้ำ เป็นทรัพยากรของส่วนรวม ที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันดูแลอย่างมีความรับผิดชอบโดยมีแนวทางปฏิบัติที่จับต้องได้ซึ่งบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมอาหารได้นำมาปรับใช้จนเห็นผลสำเร็จ

 

  1.  พัฒนา 3Rs ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดด้วยเทคโนโลยีจัดการน้ำ 

    หลักการ 3R (Reduce, Reuse, Recycle) ยังคงเป็นพื้นฐานที่สำคัญแต่การจะไปถึงจุดที่มีประสิทธิภาพสูงสุดได้นั้น จำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีและความคิดสร้างสรรค์เข้ามาเป็นเครื่องมือสำคัญ

    • Reduce (ลดการใช้น้ำ) ด้วยระบบอัตโนมัติและข้อมูล:
    การลดการใช้น้ำอย่างมีนัยสำคัญเริ่มต้นจากการวัดผลที่แม่นยำ บริษัทชั้นนำหลายแห่งได้ลงทุนในระบบอัตโนมัติ เพื่อควบคุมปริมาณการใช้น้ำในแต่ละขั้นตอนการผลิตพร้อมทั้งติดตั้งอุปกรณ์ตรวจวัดเพื่อเก็บข้อมูลการใช้งานอย่างละเอียดข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำมาวิเคราะห์เพื่อหาจุดรั่วไหลที่มองไม่เห็นและหาโอกาสในการปรับปรุงกระบวนการให้ใช้น้ำน้อยลงอย่างต่อเนื่องนอกจากนี้ยังมีการจัดกิจกรรมให้ความรู้แก่พนักงานทั้งในสายการผลิตและสำนักงาน เพื่อสร้างวัฒนธรรมการใช้น้ำอย่างรู้คุณค่าทั่วทั้งองค์กร

    • Reuse (การใช้ซ้ำ) จากของเหลือในกระบวนการผลิต: 
    หนึ่งในตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมและประสบความสำเร็จอย่างสูงในอุตสาหกรรมอาหารคือ โครงการนำน้ำ Condensate กลับมาใช้ประโยชน์ ในกระบวนการผลิตอาหารที่ต้องใช้ความร้อนสูง เช่น การนึ่งเส้นบะหมี่จะมีไอน้ำเกิดขึ้นจำนวนมาก เมื่อไอน้ำกระทบความเย็นจะควบแน่นกลายเป็นน้ำร้อน (Condensate) ซึ่งในอดีตอาจถูกปล่อยทิ้ง แต่บริษัทที่มีวิสัยทัศน์ได้พัฒนาระบบนำน้ำร้อนนี้มาผ่าน Cooling Tower เพื่อลดอุณหภูมิลง แล้วจึงส่งกลับไปเป็นน้ำตั้งต้นในกระบวนการผลิตอีกครั้ง วิธีการนี้ไม่เพียง ช่วยลดปริมาณการใช้น้ำดิบจากแหล่งธรรมชาติได้อย่างมหาศาลแต่ยังช่วยลดการปล่อยน้ำร้อนซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

    • Recycle (การหมุนเวียน) น้ำทิ้งให้เกิดประโยชน์สูงสุด:
    น้ำที่ผ่านการใช้งานแล้วไม่ใช่ของเสียเสมอไป ตัวอย่างที่น่าสนใจคือ โครงการนำน้ำ Backwash จากระบบกรอง Ultrafiltration กลับมาใช้ใหม่ ในกระบวนการผลิตน้ำบริสุทธิ์ จะต้องมีการล้างไส้กรอง (Backwash) เพื่อกำจัดสิ่งสกปรก ซึ่งทำให้เกิดน้ำทิ้งจำนวนหนึ่ง แทนที่จะปล่อยน้ำส่วนนี้เข้าสู่ระบบบำบัดน้ำเสียโดยตรง บริษัทได้วางระบบท่อเพื่อนำน้ำ Backwash กลับลงไปยังบ่อพักน้ำดิบเพื่อให้ตะกอนตกลง และนำน้ำใสส่วนบนกลับเข้าสู่กระบวนการกรองอีกครั้ง เป็นการหมุนเวียนทรัพยากรที่ชาญฉลาด และลดภาระของระบบบำบัดน้ำเสียไป 
    พร้อมกัน นอกจากนี้ น้ำที่ผ่านการบำบัดจากระบบบำบัดน้ำทางชีวภาพ จนมีคุณภาพตามมาตรฐานกรมโรงงานอุตสาหกรรมแล้ว ยังสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในกิจกรรม ที่ไม่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ได้ เช่น การรดน้ำสนามหญ้าและต้นไม้ในบริเวณโรงงานหรือการทำความสะอาดพื้นที่ภายนอกอาคาร





  2.  การประเมินและบริหารความเสี่ยงเรื่องน้ำ...ตลอดสายการผลิต 

    การดูแลน้ำอย่างมีประสิทธิภาพเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจความเสี่ยงทั้งหมด บริษัทต้องตอบคำถามสำคัญให้ได้ว่า "จุดอ่อนเรื่องน้ำที่อันตรายที่สุดขององค์กรอยู่ที่ไหน?" ซึ่งคำตอบอาจไม่ได้อยู่ในโรงงานเสมอไป

    • การประเมินความเสี่ยงเชิงรุก: บริษัทที่มีการบริหารความเสี่ยงที่เป็นเลิศจะกำหนดให้ภัยแล้งเป็นหนึ่งในความเสี่ยงระดับองค์กร (Enterprise Risk) และมีการติดตามประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่องตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่การวิเคราะห์สถานการณ์น้ำในพื้นที่เพาะปลูกของคู่ค้าไปจนถึงการเฝ้าระวังปริมาณและคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำใกล้เคียงโรงงาน

    • การวางแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ (BCP): จากการประเมินความเสี่ยงจะนำไปสู่การจัดทำแผนรับมือที่เป็นรูปธรรม ซึ่งครอบคลุมถึง

    ⚬ การบริหารจัดการต้นทุน: ในกรณีที่เกิดการขาดแคลนน้ำจนอาจทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น บริษัทจะมีการวางแผนสั่งซื้อน้ำดิบล่วงหน้าจากคู่ค้า (Supplier) ที่ผ่านการรับรอง และเตรียมการจัดหาน้ำดิบจากแหล่งสำรองมาทดแทน
    ⚬ การเตรียมความพร้อมของทีมงาน: มีการกำหนดโครงสร้างทีมปฏิบัติงานที่ชัดเจนตามแผน BCP พร้อมทั้งติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิดเพื่อให้พร้อมรับมือได้ทันท่วงที





  3.  การทำงานร่วมกับชุมชนเพื่อสร้าง "ความไว้วางใจ" ในการใช้น้ำร่วมกัน

    โรงงานอุตสาหกรรมอาหารจะเติบโตอย่างยั่งยืนไม่ได้ หากการดำเนินงานไปสร้างผลกระทบต่อแหล่งน้ำของชุมชน การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและทำงานร่วมกับชุมชนจึงเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้

    แนวทางปฏิบัติที่บริษัทชั้นนำใช้คือ:

    การดำเนินงานอย่างโปร่งใสและรับผิดชอบ: บริษัทจะรายงานข้อมูลการใช้น้ำและการจัดการทรัพยากรน้ำให้แก่ ผู้มีส่วนได้เสียรับทราบอย่างสม่ำเสมอ ในกรณีที่จำเป็นต้องใช้น้ำบาดาลจะดำเนินการ ขุดเจาะบ่อที่มีความลึกกว่าระดับที่ชุมชนใช้งานปกติ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบ และควบคุมปริมาณการสูบน้ำให้เป็นไปตามพระราช-บัญญัติน้ำบาดาล พ.ศ.2520 อย่างเคร่งครัด

    การหาทางออกร่วมกัน: มีการติดตามสถานการณ์การใช้น้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติของชุมชนอย่างต่อเนื่อง และในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการขาดแคลนน้ำ บริษัทจะเข้าไปทำงานร่วมกับชุมชนเพื่อพัฒนาวิธีการบริหารจัดการน้ำที่เหมาะสมและยั่งยืนสำหรับทุกฝ่าย 

 


 

บทสรุป: เปลี่ยนความรับผิดชอบให้เป็นความได้เปรียบ 

การยกระดับการบริหารจัดการน้ำให้เป็นการดูแลอย่างรอบด้าน คือ สิ่งที่ทุกบริษัทในอุตสาหกรรมอาหาร ต้องให้ความสำคัญสูงสุด โดยควรทำให้ประเด็นเรื่องการจัดการน้ำเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจทางธุรกิจในทุกระดับ

บริษัทที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการจัดการความเสี่ยงเรื่องน้ำได้อย่างเป็นรูปธรรม จะสร้างความมั่นคงให้กับการดำเนินงานของตัวเอง และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ลงทุน ลูกค้า และชุมชน ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว สิ่งนี้จะกลายเป็นความได้เปรียบที่สำคัญและเป็นรากฐานของการเติบโตที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง