Topic

Climate Risk และ Scenario Analysis: แนวทางบริหารความเสี่ยงธุรกิจไทย

 

โดย ทยุต สิริวรการวณิชย์
ฝ่ายพัฒนาความรู้ด้านความยั่งยืน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย


 

สภาวะแวดล้อมทางธุรกิจในปัจจุบันกำลังเผชิญกับปัจจัยท้าทายที่สำคัญ นั่นคือ “ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” (Climate Risk) ซึ่งเป็นความเสี่ยงทางการเงิน (Financial risk) ที่ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการขององค์กรอย่างมีนัยสำคัญ การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ภาคธุรกิจจำเป็นต้องปรับกระบวนการดำเนินงานและกลยุทธ์เพื่อรับมือ

การที่หน่วยงานกำกับดูแลทั้งในและต่างประเทศผลักดันให้การรายงานข้อมูลด้านความยั่งยืนเป็นไปตามมาตรฐานสากล เช่น แนวปฏิบัติของ TCFD (Task Force on Climate-related Financial Disclosures) และมาตรฐาน IFRS S2 Climate-related Disclosures เป็นต้น ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงวิธีการสื่อสารข้อมูลระหว่างภาคธุรกิจกับผู้ลงทุนและสถาบันการเงิน โดยการรายงานดังกล่าวต้องการคำอธิบายที่ชัดเจนว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบต่อสถานะหรือผลประกอบการทางการเงิน (Financial Performance) ขององค์กรอย่างไร และองค์กรมีการกำกับดูแลแนวทางบริหารจัดการความเสี่ยงเหล่านั้นอย่างไร

 

🔹 องค์ประกอบของ Climate Risk: ความเสี่ยง 2 ประเภทหลักที่ธุรกิจต้องบริหารจัดการ

การบริหารจัดการ Climate Risk ให้มีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องเข้าใจความแตกต่างของความเสี่ยงทั้ง 2 ประเภทนี้

ประเภทที่หนึ่ง: ความเสี่ยงทางกายภาพ (Physical Risk) เป็นความเสี่ยงที่เกิดจากผลกระทบของเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศโดยตรง สามารถแบ่งย่อยได้เป็น 2 ลักษณะ:

  1. ความเสี่ยงเฉียบพลัน (Acute Risk): หมายถึงเหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรง (Extreme weather) ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยครั้งแต่สร้างความเสียหายรุนแรง เช่น อุทกภัยที่ทำให้ศูนย์กระจายสินค้าหรือสาขาของธุรกิจค้าปลีกต้องหยุดชะงัก พายุที่สร้างความเสียหายต่อโรงงานและเครื่องจักรหนัก หรือภาวะภัยแล้งที่ส่งผลให้ปริมาณวัตถุดิบทางการเกษตรลดลงและมีราคาสูงขึ้น เป็นต้น

  2. ความเสี่ยงเรื้อรัง (Chronic Risk): หมายถึงการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบสภาพอากาศในระยะยาวที่ค่อยๆ ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ เช่น การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลที่คุกคามพื้นที่ชายฝั่งซึ่งเป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรม อุณหภูมิเฉลี่ยที่สูงขึ้นส่งผลให้ต้นทุนด้านพลังงานสำหรับการทำความเย็นในอาคารและโรงงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเปลี่ยนแปลงของปริมาณน้ำฝนที่ส่งผลต่อความมั่นคงของแหล่งน้ำสำหรับภาคเกษตรและอุตสาหกรรม เป็นต้น


ประเภทที่สอง: ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่าน (
Transition Risk)
เป็นความเสี่ยงที่เกิดจากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมเพื่อมุ่งสู่การเป็นเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบใน 4 มิติสำคัญ:

  1. ด้านนโยบายและกฎหมาย (Policy & Legal): การออกมาตรการภาครัฐ เช่น การจัดเก็บภาษีคาร์บอน การกำหนดโควตาการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การออกกฎระเบียบด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่เข้มงวดขึ้น เป็นต้น โดยมาตรการเหล่านี้จะเพิ่มต้นทุนการดำเนินงานให้แก่ธุรกิจที่ไม่สามารถปรับตัวได้ทันท่วงที โดยเฉพาะธุรกิจในกลุ่มพลังงาน การขนส่ง และอุตสาหกรรมหนัก (Hard-to-abate)

  2. ด้านเทคโนโลยี (Technology): การพัฒนาเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ เช่น ระบบกักเก็บพลังงาน ยานยนต์ไฟฟ้า (EVs) เชื้อเพลิงทางเลือก เป็นต้น อาจทำให้เทคโนโลยีที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีประสิทธิภาพด้อยลงและไม่คุ้มค่าต่อการลงทุนอีกต่อไป ซึ่งอาจนำไปสู่การด้อยค่าของสินทรัพย์ (Asset Impairment) ที่เกี่ยวข้อง

  3. ด้านตลาด (Market): การเปลี่ยนแปลงความต้องการของผู้บริโภคที่หันไปให้ความสำคัญกับสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น รวมถึงการที่บริษัทขนาดใหญ่ในฐานะลูกค้าเริ่มกำหนดให้คู่ค้าในห่วงโซ่อุปทานต้องมีมาตรฐานด้านความยั่งยืน ปัจจัยเหล่านี้สามารถเปลี่ยนแปลงส่วนแบ่งทางการตลาดและกระทบต่อรายได้ของบริษัทที่ไม่ปรับตัว

  4. ด้านชื่อเสียง (Reputation): การรับรู้ของสาธารณชนและผู้ลงทุนที่มีต่อการดำเนินงานของบริษัทในด้านสิ่งแวดล้อมส่งผลต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือขององค์กร บริษัทที่ถูกมองว่าขาดความรับผิดชอบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจประสบปัญหาในการรักษาลูกค้าและดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถ


ความสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงทั้งสองประเภทนี้มีความซับซ้อน การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำที่ล่าช้าอาจลดทอนความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่านในระยะสั้น แต่จะส่งผลให้ความเสี่ยงทางกายภาพทวีความรุนแรงขึ้นในระยะยาว ในทางกลับกัน การเปลี่ยนผ่านที่รวดเร็วอาจช่วยบรรเทาความเสี่ยงทางกายภาพ แต่ก็สร้างความท้าทายและความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่านที่สูงขึ้นให้กับภาคธุรกิจ การวางกลยุทธ์ที่สมดุลจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น

 

 

🔹 มุมมองของผู้จัดสรรเงินทุน: การเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ในการประเมินความเสี่ยง

ผู้จัดสรรเงินทุนในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งได้แก่ ผู้ลงทุนสถาบัน (บริษัทประกันภัย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน สถาบันการเงิน) ได้เริ่มนำการประเมิน Climate Risk เข้าเป็นส่วนหนึ่งของเกณฑ์หรือกระบวนการอนุมัติและกำหนดเงื่อนไขทางการเงินแล้ว

มุมมองจากธุรกิจประกันภัย: ธุรกิจประกันภัยกำลังปรับเปลี่ยนวิธีการประเมินความเสี่ยงที่ใช้เพียงข้อมูลสถิติในอดีต มาเป็นการใช้แบบจำลองคาดการณ์สภาพภูมิอากาศ (Climate Models) ตัวอย่างเช่น แบบจำลองคาดการณ์น้ำท่วมหรือ Flood Model เพื่อประเมินความน่าจะเป็นและความรุนแรงของความเสียหายของอุทกภัยแบบเฉียบพลัน (Flash Flood) ในอนาคต ของบมจ. เมืองไทยประกันภัย (MTI) เป็นต้น การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจโดยตรง เช่น

  • การปรับอัตราค่าเบี้ยประกันภัย: อัตราค่าเบี้ยประกันภัยสำหรับทรัพย์สินที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงทางกายภาพสูงมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นเพื่อสะท้อนระดับความเสี่ยงที่แท้จริง

  • การบริหารความเสี่ยงเชิงรุกช่วยลดต้นทุน: องค์กรที่สามารถแสดงหลักฐานของมาตรการบริหารจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ เช่น การลงทุนเสริมความแข็งแรงของอาคาร หรือการมีแผนบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Plan) ที่ครอบคลุม เป็นต้น อาจสามารถใช้เป็นข้อมูลประกอบการเจรจาต่อรองเงื่อนไขความคุ้มครองและอัตราเบี้ยประกันได้

  • ผลิตภัณฑ์และบริการใหม่: ธุรกิจประกันภัยเริ่มพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ให้ความคุ้มครองความเสี่ยงรูปแบบใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับธุรกิจในการถ่ายโอนความเสี่ยงบางส่วน


มุมมองจากธนาคารพาณิชย์และผู้ลงทุน:
ในทำนองเดียวกัน ธนาคารพาณิชย์และผู้ลงทุนได้นำปัจจัยด้าน Climate Risk มาพิจารณาในการวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือและตัดสินใจจัดสรรเงินทุน

  • การบูรณาการในกระบวนการวิเคราะห์สินเชื่อ: ธนาคารใช้ข้อมูลการบริหารจัดการ Climate Risk ของลูกค้าเป็นส่วนหนึ่งในการประเมินความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk) องค์กรที่ขาดกลยุทธ์และแนวทางที่ชัดเจนอาจเผชิญกับต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้น

  • โอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนสีเขียว: องค์กรที่ดำเนินโครงการที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะมีโอกาสเข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน เช่น สินเชื่อสีเขียว (Green Loan) หรือสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability-Linked Loan) เป็นต้น ซึ่งมักมีเงื่อนไขที่จูงใจและต้นทุนทางการเงินที่ต่ำกว่าแบบเดิมอย่างมีนัยสำคัญ

  • ความคาดหวังของผู้ลงทุนต่อการเปิดเผยข้อมูล: นักลงทุนต้องการข้อมูลที่นอกเหนือไปจากตัวเลขการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พวกเขาต้องการคำอธิบายเชิงกลยุทธ์ที่เชื่อมโยงว่าองค์กรระบุและประเมินความเสี่ยงอย่างไร , ความเสี่ยงนั้นส่งผลกระทบต่อตัวเลขทางการเงิน (รายได้, ค่าใช้จ่าย, การลงทุน) อย่างไร , และองค์กรมีแผนการจัดการความเสี่ยงนั้นอย่างไร

 

 

🔹 Scenario Analysis: เครื่องมือประเมินความทนทาน (Resilience) ของธุรกิจ

การวางแผนธุรกิจภายใต้ความไม่แน่นอนสูงจำเป็นต้องอาศัยเครื่องมือที่ช่วยให้องค์กรเข้าใจถึงผลกระทบจากปัจจัยต่าง ๆ ได้อย่างรอบด้าน Scenario Analysis คือกระบวนการเชิงระบบที่ช่วยให้ผู้บริหารสามารถสำรวจและประเมินผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ของธุรกิจภายใต้สภาวะแวดล้อมในอนาคตที่แตกต่างกัน’ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนากลยุทธ์ทางธุรกิจให้มีความยืดหยุ่นและสามารถทนทานต่อสภาวการณ์ที่หลากหลายได้

ขั้นตอนการประยุกต์ใช้ Scenario Analysis:

  1. ระบุปัจจัยขับเคลื่อนและความไม่แน่นอน (Identify Key Drivers): ขั้นตอนแรกคือการระบุปัจจัยภายนอกที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่งมีความไม่แน่นอนสูงและส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อธุรกิจ เช่น ระดับของราคาคาร์บอนในอนาคต ความเร็วในการยอมรับเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า หรือข้อบังคับด้านการใช้น้ำในภาคอุตสาหกรรม เป็นต้น

  2. พัฒนาสถานการณ์จำลอง (Develop Scenarios): สร้างคำอธิบายเกี่ยวกับสภาวะในอนาคตที่เป็นไปได้และมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน อย่างน้อย 2 สถานการณ์ เพื่อใช้เป็นกรอบในการวิเคราะห์ เช่น:
    • สถานการณ์ A: การเปลี่ยนผ่านที่เป็นระเบียบ (Orderly Transition <2°C): สภาวะที่นานาประเทศร่วมมือกันออกนโยบายที่เข้มงวดและชัดเจนเพื่อจำกัดอุณหภูมิโลก ทำให้เกิดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่านสูง
    • สถานการณ์ B: การเปลี่ยนผ่านที่ไม่เป็นระเบียบ (Disorderly Transition >3°C): สภาวะที่นโยบายของประเทศต่าง ๆ ขาดทิศทางและเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน หรือล้มเหลวในการจำกัดอุณหภูมิโลก ทำให้ความเสี่ยงทางกายภาพเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในระยะยาว

  3. ประเมินผลกระทบทางการเงิน (Assess Financial Impact): ในแต่ละสถานการณ์จำลอง ให้ทำการวิเคราะห์และประเมินผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจในเชิงปริมาณทางการเงิน โดยพิจารณาผลกระทบต่อประมาณการรายได้ โครงสร้างต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OpEx) และแผนการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร (CapEx)

  4. กำหนดกลยุทธ์และมาตรการปรับตัว (Develop Strategic Responses): ผลการวิเคราะห์จากขั้นตอนที่ 3 จะช่วยให้องค์กรเห็นถึงจุดอ่อนและความเสี่ยงในแต่ละสถานการณ์ ซึ่งสามารถนำไปสู่การกำหนดทางเลือกเชิงกลยุทธ์เพื่อเพิ่มความทนทานของธุรกิจ เช่น การกระจายแหล่งวัตถุดิบ การลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน หรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำเป็นต้น


การใช้เครื่องมือและที่ปรึกษา:
องค์กรสามารถใช้ซอฟต์แวร์และฐานข้อมูลจากผู้ให้บริการภายนอกเพื่อช่วยในการสร้างแบบจำลองและประเมินความเสี่ยงได้ อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีเป็นเพียงเครื่องมือสนับสนุนการตัดสินใจเท่านั้น การจ้างที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญสามารถช่วยเร่งกระบวนการและให้มุมมองจากภายนอกได้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว องค์กรต้องเป็นผู้รับผิดชอบและนำองค์ความรู้ที่ได้จากการวิเคราะห์มาบูรณาการเข้ากับกระบวนการวางแผนกลยุทธ์ของตนเอง

 

🔹 การจัดการ Climate Risk ...สร้างความสามารถในการแข่งขัน

กระบวนการบริหารจัดการ Climate Risk ไม่ได้สิ้นสุดที่การเปิดเผยข้อมูลและจัดทำรายงานตามมาตรฐาน TCFD หรือ IFRS S2 ได้สำเร็จ การรายงานเป็นเพียงข้อกำหนดพื้นฐานและเป็นผลลัพธ์ปลายทางของกระบวนการวิเคราะห์ภายในเท่านั้น สาระสำคัญที่แท้จริง คือการนำข้อมูลเชิงลึกที่ได้จาก Materiality Assessment และ Scenario Analysis มาใช้ประกอบการตัดสินใจทางธุรกิจอย่างสม่ำเสมอ

องค์กรที่สามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพจะพบว่า โอกาสทางธุรกิจสามารถเกิดขึ้นได้จากการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นโอกาสในการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ การปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานเพื่อลดต้นทุน หรือการสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง สิ่งเหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันและดึงดูดการลงทุนในระยะยาว

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในฐานะหน่วยงานสนับสนุนการขับเคลื่อนเพื่อพัฒนาตลาดทุนไทย จะยังคงทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนเพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจและสนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนและผู้ประกอบการในตลาดทุนไทยสามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนี้และเปลี่ยนผ่านสู่ Net Zero ได้อย่างแข็งแกร่ง โดยสนับสนุนให้ทุกองค์กรเริ่มต้นศึกษาและประเมินผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง เพื่อสร้างความทนทานและความสามารถในการปรับตัว ซึ่งเป็นปัจจัยที่จำเป็นสำหรับการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืนในอนาคต