Topic

Scope 3 Emissions คืออะไร? แนวทางจัดการสำหรับธุรกิจไทยเพื่อความได้เปรียบทางการแข่งขัน


Scope 3 Emissions
คืออะไร
?
แนวทางจัดการสำหรับธุรกิจไทยเพื่อความได้เปรียบทางการแข่งขัน

โดย ทยุต สิริวรการวณิชย์
ฝ่ายพัฒนาความรู้ด้านความยั่งยืน
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย  

 


Highlights:

  • คำจำกัดความ: Scope 3 คืออะไร และเหตุใดจึงเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร
  • ตัวอย่างการวิเคราะห์รายอุตสาหกรรม/ประเภทธุรกิจ: รวมถึงความท้าทาย โอกาส และกรณีศึกษาของบริษัทจดทะเบียน (ไทย/ต่างประเทศ) ในการจัดการ Scope 3
  • แรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ: การวิเคราะห์แรงกดดันจากกฎระเบียบสากล (CSRD, CBAM) และความต้องการของผู้ลงทุน ที่ทำให้การจัดการ Scope 3 กลายเป็นเรื่องจำเป็น
  • แนวทางปฏิบัติ: กรอบการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมสำหรับการวัดผล การบริหารจัดการ และการสร้างความร่วมมือกับคู่ค้า (Supplier) เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่อุปทาน
  • โอกาสทางธุรกิจ: เปลี่ยนมุมมองต่อการจัดการ Scope 3 จาก Cost Center เป็น Value Creator
  • มุมมองอนาคต: แนวโน้มเทคโนโลยีและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง และแผนการเตรียมความพร้อมสำหรับธุรกิจไทย

 

บทนำ: ความท้าทายที่ซ่อนอยู่นอกรั้วองค์กร

ที่ผ่านมา การดำเนินงานด้านความยั่งยืนของหลายองค์กรมักมุ่งเน้นไปยังสิ่งที่จับต้องและควบคุมได้ง่าย นั่นคือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงานของตนเองโดยตรง (Scope 1) และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม จากการใช้พลังงานที่องค์กรซื้อหรือนำเข้ามา เช่น ไฟฟ้า ไอน้ำ ความร้อน ความเย็น อากาศอัด เป็นต้น (Scope 2) ซึ่งเปรียบเสมือนการจัดการดูแลความเรียบร้อยภายในบ้านของตนเอง แต่ในความเป็นจริง ผลกระทบด้านสภาพภูมิอากาศที่ใหญ่ที่สุดของธุรกิจจำนวนมากเกิดขึ้นเพียงภายในรั้วองค์กร ซึ่งผลกระทบดังกล่าวมักซ่อนอยู่ในกิจกรรมตลอดทั้ง "ห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ” ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบจากคู่ค้า (Sourcing) ไปจนถึงการใช้งานผลิตภัณฑ์โดยผู้บริโภค การจัดการของเสียที่เกิดจากกระบวนการผลิต และการกำจัดหรือรีไซเคิลผลิตภัณฑ์หลังหมดอายุการใช้งาน ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกจัดอยู่ใน Scope 3 Emissions ทั้งสิ้น

สำหรับธุรกิจจำนวนมาก โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมการผลิต (Manufacturing) ค้าปลีก (Retail) และบริการทางการเงิน (Financial) สัดส่วนของ Scope 3 อาจสูงถึง 75-90% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด [1] การเพิกเฉยต่อ Scope 3 จึงเท่ากับว่าองค์กรกำลังมองข้ามความเสี่ยงและโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญที่สุดไป บทความนี้จะเจาะลึกว่าทำไม Scope 3 อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยมากกว่าการวัดผลเพื่อรายงาน เป็นความท้าทายที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทยในเวทีโลก

 

ทำความเข้าใจ Scope 3: ภาพรวม 15 หมวดหมู่

Scope 3 แบ่งออกเป็น 15 หมวดหมู่ (Category) ครอบคลุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก [1] จากกิจกรรมทั้งต้นน้ำและปลายน้ำตลอดห่วงโซ่อุปทาน [1] ดังนี้

กิจกรรมต้นน้ำ (Upstream Activities): การปล่อยที่เกิดขึ้นก่อนที่สินค้าหรือบริการจะมาถึงองค์กร
 
  • Category 1: สินค้าและบริการที่จัดซื้อ (Purchased Goods & Services): หมวดหมู่ที่สำคัญที่สุดสำหรับหลายธุรกิจ คือการปล่อยจากวงจรชีวิตของวัตถุดิบทั้งหมดที่ซื้อมาเพื่อผลิตสินค้า/บริการ
  • Category 2: สินทรัพย์ทุน (Capital Goods): การปล่อยจากการผลิตเครื่องจักร อุปกรณ์ และอาคารที่บริษัทลงทุน
  • Category 3: กิจกรรมที่เกี่ยวกับเชื้อเพลิงและพลังงาน (Fuel- & Energy-related Activities):การปล่อยจากการผลิตเชื้อเพลิงและพลังงานที่บริษัทจัดซื้อ (นอกเหนือจาก Scope 1 และ 2)
  • Category 4: การขนส่งและกระจายสินค้า (Upstream Transportation & Distribution): การขนส่งวัตถุดิบจากคู่ค้ามายังบริษัท
  • Category 5: ของเสียจากการดำเนินงาน (Waste Generated in Operations): การจัดการของเสียที่เกิดขึ้นในกระบวนการของบริษัท
  • Category 6: การเดินทางเพื่อธุรกิจ (Business Travel): การเดินทางของพนักงานด้วยเครื่องบิน รถยนต์ รถไฟ หรืออื่น ๆ ที่ใช้พลังงานฟอสซิล
  • Category 7: การเดินทางของพนักงาน (Employee Commuting): การเดินทางไป-กลับระหว่างบ้านและที่ทำงานของพนักงานที่ใช้พลังงานฟอสซิล
  • Category 8: สินทรัพย์เช่า (Upstream Leased Assets): การดำเนินงานของสินทรัพย์ที่บริษัทเช่ามาจากผู้อื่น


กิจกรรมปลายน้ำ (
Downstream Activities): การปล่อยที่เกิดขึ้นหลังจากสินค้าหรือบริการออกจากองค์กรไปแล้ว

  • Category 9: การขนส่งและกระจายสินค้า (Downstream Transportation & Distribution):การขนส่งสินค้าจากบริษัทไปยังผู้บริโภค
  • Category 10: การแปรรูปสินค้าที่ขาย (Processing of Sold Products): การปล่อยจากการที่ลูกค้านำสินค้าไปแปรรูปต่อ
  • Category 11: การใช้งานสินค้าที่ขาย (Use of Sold Products): หมวดหมู่ที่สำคัญมากสำหรับสินค้าที่ต้องใช้พลังงาน เช่น รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น
  • Category 12: การจัดการซากผลิตภัณฑ์ (End-of-life Treatment): การปล่อยจากการกำจัดหรือรีไซเคิลผลิตภัณฑ์หลังหมดอายุการใช้งาน
  • Category 13: สินทรัพย์ให้เช่า (Downstream Leased Assets): การดำเนินงานของสินทรัพย์ที่บริษัทเป็นเจ้าของและให้ผู้อื่นเช่า
  • Category 14: แฟรนไชส์ (Franchises): การปล่อยจากการดำเนินงานของธุรกิจแฟรนไชส์
  • Category 15: การลงทุน (Investments): หมวดหมู่สำคัญสำหรับสถาบันการเงิน คือการปล่อยจากการให้สินเชื่อและการลงทุน (Financed Emissions) ซึ่งมีมาตรฐานการคำนวณโดยเฉพาะคือ PCAF [2]


การทำความเข้าใจหมวดหมู่เหล่านี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถระบุได้ว่าจุดใดในห่วงโซ่คุณค่าของตนมีนัยสำคัญและควรให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก ๆ

 

 

ตัวอย่างการวิเคราะห์รายอุตสาหกรรม: ความท้าทาย โอกาส และกรณีศึกษา

ในแต่ละอุตสาหกรรมและประเภทธุรกิจอาจมีหมวดหมู่ (Category) ของการจัดการ Scope 3 แตกต่างกันไป อย่างไรก็ตาม การเข้าใจจุดที่มีนัยสำคัญ (Hotspots) ของธุรกิจตนเอง คือก้าวแรกสู่การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ

3.1 อุตสาหกรรมการเงินและธนาคาร (FINCIAL)

  • ตัวอย่าง Hotspot หลัก:

    Category 15: การลงทุน (Investments) หรือ "Financed Emissions"

    o ความท้าทาย: การปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ใหญ่ที่สุดไม่ได้มาจากอาคารสำนักงาน แต่มาจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจ (Economic Activities) ของลูกค้าที่ตนให้สินเชื่อหรือเข้าไปลงทุน การวัดผลส่วนนี้มีความซับซ้อนสูงและต้องอาศัยข้อมูลจากลูกค้าโดยตรง

    o ตัวอย่างแนวทางการจัดการ: ใช้มาตรฐาน Partnership for Carbon Accounting Financials (PCAF) ซึ่งเป็นกรอบการคำนวณ Financed Emissions ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล [2] เพื่อประเมินความเสี่ยงใน Portfolio และกำหนดกลยุทธ์การให้สินเชื่อที่สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

    o กรณีศึกษา: ธนาคารไทยหลายแห่ง เช่น ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) และ กลุ่มทิสโก้ (TISCO Group) เป็นต้น ได้เริ่มนำมาตรฐาน PCAF มาใช้ในการวัดผลและเปิดเผยข้อมูล Financed Emissions ในรายงานความยั่งยืน [8, 9] ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการบริหารความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศและตอบสนองความต้องการของผู้มีส่วนได้เสีย

3.2 อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม

  • ตัวอย่าง Hotspot หลัก:

    Category 1: สินค้าและบริการที่จัดซื้อ และ Category 4: การขนส่ง

    o ความท้าทาย: การปล่อยก๊าซเรือนกระจกส่วนใหญ่มาจากภาคการเกษตร เช่น การใช้ปุ๋ยก๊าซมีเทนจากปศุสัตว์ เป็นต้น รวมถึงการขนส่งวัตถุดิบจากแหล่งผลิตต้นทางมายังโรงงานแปรรูป ซึ่งล้วนเป็นกิจกรรมที่อยู่นอกเหนือการควบคุมโดยตรงของบริษัท

    o โอกาส: การทำงานร่วมกับเกษตรกรในห่วงโซ่อุปทานเพื่อส่งเสริมการทำเกษตรคาร์บอนต่ำ (Low-carbon Farming) และการเพิ่มประสิทธิภาพในระบบ Logistics สามารถช่วยลด Scope 3 และสร้างความมั่นคงทางอาหาร (Food Securities) รวมถึงลดต้นทุนได้อีกด้วย

    o กรณีศึกษา: บริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด (มหาชน) (TVO) ผู้ผลิตน้ำมันถั่วเหลือง ได้รายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก Scope 3 โดยระบุว่าการปล่อยส่วนใหญ่มาจาก "สินค้าและบริการที่ซื้อ" ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของวัตถุดิบทางการเกษตรในห่วงโซ่คุณค่า [10]

3.3 อุตสาหกรรมยานยนต์

  • ตัวอย่าง Hotspot หลัก:
    Category 11: การใช้งานสินค้าที่ขาย (Use of Sold Products)

    o ความท้าทาย: สำหรับผู้ผลิตรถยนต์สันดาปภายใน (ICE) การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กว่า 80% เกิดขึ้นจากที่ลูกค้านำรถไปใช้งานและเติมเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นความท้าทายสำคัญในการลดผลกระทบโดยรวม

    o โอกาส: การเปลี่ยนผ่านสู่การผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) คือกลยุทธ์สำคัญในการลด Category 11 อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายจะย้ายไปอยู่ที่ Category 1 (การผลิตแบตเตอรี่) และ Category 12 (การจัดการแบตเตอรี่หลังหมดอายุการใช้งาน) ซึ่งเปิดโอกาสให้เกิดธุรกิจใหม่ในระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน

    o กรณีศึกษา: บริษัท ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) (FPI) ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ได้ปรับตัวโดยการผลิตชิ้นส่วนเพื่อรองรับความต้องการของตลาดยานยนต์ไฟฟ้า (EVs) ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในการจัดการ Scope 3 ของลูกค้าค่ายรถยนต์รายใหญ่ของโลก [11]

3.4 อุตสาหกรรมสิ่งทอและแฟชั่น

  • ตัวอย่าง Hotspot หลัก:
    Category 1: วัตถุดิบและการย้อมสี และ Category 11: การซักและดูแลเสื้อผ้า

    o ความท้าทาย: กระบวนการผลิตเส้นใย เช่น การปลูกฝ้ายที่ใช้น้ำและยาฆ่าแมลงสูง กระบวนการย้อมสีที่ใช้พลังงานและสารเคมีจำนวนมาก เป็นต้น ถือเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญ นอกจากนี้ การที่ผู้บริโภคซัก-อบผ้าด้วยเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานสูงก็เป็นส่วนสำคัญของ Category 11 ในการจัเการ Scope 3 เช่นกัน

    o โอกาส: การสร้างนวัตกรรมด้านวัสดุ ตัวอย่างเช่น เส้นใยรีไซเคิล การใช้เทคโนโลยีการย้อมผ้าแบบไม่ใช้น้ำ และการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ทนทานและดูแลรักษาง่าย ล้วนคือแนวทางในการลดผลกระทบ นอกจากนี้ การสร้างโมเดลธุรกิจแบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Business Model) เช่น การรับคืนเสื้อผ้าเก่า การให้เช่า เป็นต้น ล้วนสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดวงจรชีวิต (Life Cycle) ได้

    o กรณีศึกษา (ต่างประเทศ): Patagonia เป็นแบรนด์ที่โดดเด่นในการจัดการ Scope 3 โดยส่งเสริมการใช้วัสดุรีไซเคิล มีโปรแกรมซ่อมแซมเสื้อผ้าตลอดชีพ (Worn Wear) และสื่อสารให้ผู้บริโภคซื้อเฉพาะที่จำเป็น เพื่อลดผลกระทบจาก Category 1 และ 11

3.5 อุตสาหกรรมเทคโนโลยี

  • ตัวอย่าง Hotspot หลัก:
    Category 11: การใช้พลังงานของอุปกรณ์ และ Category 12: การจัดการซากผลิตภัณฑ์ (E-waste)

    o ความท้าทาย: การใช้พลังงานไฟฟ้าของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และศูนย์ข้อมูล (Data Center) ตลอดอายุการใช้งาน ถือเป็นสัดส่วนการปล่อยที่สูงมาก นอกจากนี้ ขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-waste) ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วก็นับเป็นความท้าทายใหญ่ในการจัดการของธุรกิจ

    o โอกาส: การออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ประหยัดพลังงานมากขึ้น การใช้พลังงานหมุนเวียนใน Data Center และการสร้างระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (Circular Design) เช่น การออกแบบให้ซ่อมง่าย การนำชิ้นส่วนกลับมาใช้ใหม่ และการรีไซเคิลโลหะมีค่า เป็นต้น

    o กรณีศึกษา (ต่างประเทศ): Apple ได้ประกาศเป้าหมายที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์และห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2030 โดยมุ่งเน้นการใช้วัสดุรีไซเคิล 100% เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของผลิตภัณฑ์ และลงทุนในพลังงานหมุนเวียนสำหรับคู่ค้าซึ่งเป็นการจัดการ Scope 3 อย่างครบวงจร [12]

 

 

ทำไม Scope 3 จึงกลายเป็นเรื่องเร่งด่วนสำหรับธุรกิจไทย?

ปัจจุบันการจัดการ Scope 3 เป็นความท้าทายและความจำเป็นที่ถูกขับเคลื่อนโดยทั้งปัจจัยทางเศรษฐกิจและการค้า เช่น

  • แรงกดดันจากกฎระเบียบโลก:

    o CSRD (Corporate Sustainability Reporting Directive) ของสหภาพยุโรป: กำหนดให้บริษัทขนาดใหญ่ที่ทำธุรกิจใน EU ต้องรายงานข้อมูลความยั่งยืนอย่างละเอียด ซึ่งรวมถึงข้อมูล Scope 3 อย่างเป็นระบบและผ่านการสอบทาน (Verified) จากหน่วยงานที่ได้รับการรับรอง [3]

    o EU CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism): แม้ในระยะแรกจะมุ่งเน้นที่การปล่อยโดยตรง (Scope 1) ของสินค้าที่นำเข้า EU แต่มีแนวโน้มสูงที่จะขยายขอบเขตให้ครอบคลุมการปล่อยทางอ้อมในอนาคต ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ส่งออกไทย [4]

    o กฎระเบียบในสหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ: คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ (US-SEC) และหน่วยงานกำกับดูแลในหลายประเทศ กำลังพิจารณาและบังคับใช้กฎระเบียบและ/หรือแนวปฏิบัติสำหรับภาคธุรกิจในการเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศโดยมุ่งครอบคลุมการจัดการ Scope 3 มากขึ้น


  • ความต้องการของผู้ลงทุนและสถาบันการเงิน (Financial Institution: FI):

    o ผู้ลงทุนสถาบันและผู้จัดการกองทุนทั่วโลกใช้ข้อมูล ESG รวมถึง Scope 3 ในการประเมินความเสี่ยง/โอกาสของบริษัท และประกอบการตัดสินใจลงทุน ข้อมูลจากแพลตฟอร์มการเปิดเผยข้อมูลชั้นนำอย่าง CDP แสดงให้เห็นว่านักลงทุนกำลังเรียกร้องข้อมูลส่วนนี้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ [5] บริษัทที่ไม่สามารถให้ข้อมูลที่โปร่งใสและน่าเชื่อถือได้ อาจถูกมองว่ามีความเสี่ยงสูงและมีความน่าสนใจในการลงทุนน้อยลง

    o สถาบันการเงินเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ เช่น IFC ADB GGGI DFCD เป็นต้น รวมถึงธนาคารพาณิชย์หลายแห่งในประเทศไทยเอง เริ่มกำหนดเงื่อนไขด้านความยั่งยืนในการพิจารณาให้สินเชื่อ (Loan Consideration Process) ซึ่งรวมถึงการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานด้วย


  • แรงผลักดันจากคู่ค้าในห่วงโซ่อุปทานโลก (Global Value Chain):

    o บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ที่ตั้งเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ (Science-Based Targets) กำลังผลักดันให้คู่ค้าทั่วโลก รวมถึงคู่ค้าในประเทศไทย ต้องวัดผลและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนเอง [6] การไม่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดเหล่านี้ได้ อาจหมายถึงการสูญเสียโอกาสทางธุรกิจและหลุดออกจากห่วงโซ่อุปทานโลก

 

 

แนวทางการบริหารจัดการ Scope 3 และการจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน

การจัดการ Scope 3 เป็นกระบวนการระยะยาวที่ต้องอาศัยแนวทางที่เป็นระบบ โดยสามารถอ้างอิงแนวปฏิบัติจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ เช่น EPA ของสหรัฐอเมริกา [7] เป็นต้น


ขั้นตอนที่
1: การวัดผลและระบุจุดสำคัญ (Measure & Identify Hotspots)

  • เริ่มต้นด้วยการคัดกรอง (Screening) ทั้ง 15 หมวดหมู่เพื่อประเมินว่าหมวดหมู่ใดมีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับธุรกิจมากที่สุด
  • รวบรวมข้อมูล โดยอาจเริ่มจากข้อมูลค่าใช้จ่าย (Spend-based data) ซึ่งคำนวณได้ง่ายที่สุด แล้วค่อยๆ พัฒนาไปสู่ข้อมูลที่อิงจากกิจกรรม (Activity-based data) หรือข้อมูลโดยตรงจากคู่ค้า (Supplier-specific data) ซึ่งมีความแม่นยำมากที่สุด
  • วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อระบุ "Hotspots" (คู่ค้าและกิจกรรมของคู่ค้าที่มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงที่สุด) เพื่อจัดลำดับความสำคัญในการดำเนินงานต่อไป


ขั้นตอนที่
2: การสร้างความร่วมมือกับคู่ค้า (Supplier Engagement)

  • การจัดการ Scope 3 ไม่สามารถทำได้โดยลำพัง: ต้องอาศัยความร่วมมือจากคู่ค้าในห่วงโซ่อุปทาน
  • การจัดทำ Supplier Code of Conduct: กำหนดความคาดหวังที่ชัดเจนด้านความยั่งยืน รวมถึงการจัดการ Scope 3
  • การริเริ่มโครงการสนับสนุน: เช่น การจัดอบรมให้ความรู้ การสนับสนุนเครื่องมือเพื่อช่วยคู่ค้าในการจัดการข้อมูลก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะผู้ประกอบการ MSMEs ให้สามารถวัดผลและลด Emission ของตนเองได้
  • การใช้ระบบแรงจูงใจ (Incentive System): สร้าง Supplier Scorecard ที่มีเกณฑ์ด้านความยั่งยืน และให้รางวัล/สิทธิประโยชน์แก่คู่ค้าที่ทำผลงานได้ดี เช่น การให้สัญญาซื้อขายระยะยาว การมอบรางวัลชื่นชมผลการดำเนินงาน เป็นต้น


ขั้นตอนที่
3: การบูรณาการเข้ากับกระบวนการทางธุรกิจ (Integrate into Business Process)

  • การจัดซื้อจัดจ้างที่ยั่งยืน (Sustainable Procurement): นำเกณฑ์ด้านการจัดการ Scope 3 เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจคัดเลือกและประเมินผลการดำเนินงานของคู่ค้า
  • การออกแบบผลิตภัณฑ์ (Product Design): ออกแบบผลิตภัณฑ์โดยคำนึงถึงผลกระทบตลอดวงจรชีวิต (Life Cycle Assessment) เช่น การเลือกใช้วัสดุคาร์บอนต่ำ การออกแบบให้ย่อยสลายในธรรมชาติได้ 100% การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานระหว่างการใช้งาน (ลด Category 11) เป็นต้น
  • การร่วมลงทุนและพัฒนานวัตกรรม (Beyond Value Chain): ร่วมมือกับพันธมิตรหรือธุรกิจอื่น ๆ ในอุตสาหกรรม หรือสนับสนุนเงินทุน-ลงทุนใน Startup ที่แก้ไขปัญหา/ประเด็นด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Tech) เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีและแนวทางใหม่ ๆ ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่อุปทาน

 

 

เปลี่ยนต้นทุนเป็นรายได้: โอกาสทางธุรกิจจาก Scope 3

การจัดการ Scope 3 เป็นการบริหารจัดการ ESG Risks ของธุรกิจ และขยายโอกาสทางธุรกิจและรายได้ใหม่ ๆ เช่น

  • การพัฒนาผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ (Low-carbon Products): การลด Scope 3 ในห่วงโซ่อุปทาน ทำให้บริษัทสามารถพัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ต่ำกว่าคู่แข่งได้ ซึ่งสามารถวาง Positioning เป็นสินค้า Premium ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม/ความยั่งยืนได้อีกด้วย
  • การเข้าถึงตลาดและแหล่งทุนใหม่: บริษัทที่มีการจัดการ Scope 3 ที่ดี จะได้เปรียบในการเข้าสู่ตลาดที่มีกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมเข้มงวด และสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนสีเขียว (Green Finance) รวมถึงการลงทุนที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน (Sustainable Investment) ได้ง่ายขึ้น
  • การสร้างรายได้จากคาร์บอนเครดิต: โครงการที่บริษัทริเริ่มเพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของคู่ค้าในห่วงโซ่คุณค่า เช่น โครงการส่งเสริมการทำเกษตรคาร์บอนต่ำ/ยั่งยืนของกลุ่มธุรกิจประเภทร้านอาหาร เป็นต้น สามารถนำปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ลดได้ ไปขึ้นทะเบียนเป็นคาร์บอนเครดิตกับหน่วยงานรับรองฯ เพื่อขายในตลาดคาร์บอนได้ (Carbon Market)
  • การเพิ่มความยืดหยุ่น (Resilience) ของห่วงโซ่อุปทาน: การทำงานร่วมกับคู่ค้าเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและทรัพยากรของธุรกิจได้ซึ่งทั้งช่วยลดต้นทุน และสร้างห่วงโซ่อุปทานที่สามารถรับมือความผันผวนของราคาพลังงานและวัตถุดิบได้ดีกว่า

 


 

บทสรุป: การจัดระเบียบธุรกิจเพื่ออนาคต

Scope 3 Emissions เป็นมากกว่าการวัดผลหรือข้อมูลในรายงานความยั่งยืน เพราะอาจเป็นภาพที่สะท้อนของความเสี่ยงและโอกาสตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานของธุรกิจ การบริหารจัดการ Scope 3 จึงอาจมองว่าเป็นการจัดระเบียบกระบวนการทางธุรกิจใหม่ โดยการเปลี่ยนมุมมองต่อการจัดการภายในองค์กร สู่การบริหารจัดการความสัมพันธ์และความร่วมมือกับผู้มีส่วนได้เสีย "ภายนอก" ด้วย ตั้งแต่คู่ค้า ลูกค้า ตลอดจนถึงผู้บริโภคปลายทาง

สำหรับธุรกิจไทย การจัดการ Scope 3 นี้อาจเต็มไปด้วยความท้าทาย ทั้งในด้านความพร้อมของข้อมูล ทรัพยากร และองค์ความรู้ แต่การไม่เริ่มต้นทำอะไรเลยมีความเสี่ยงสูงกว่ามาก เพราะมันหมายถึงการค่อยๆ ถูกคัด/ตัดออกจากห่วงโซ่อุปทานโลก และสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในที่สุด

" การจัดการ Scope 3 อย่างจริงจัง คือการลงทุนเพื่อสร้างความยืดหยุ่นในระยะยาวและความไว้วางใจของผู้มีส่วนได้เสีย
ซึ่งทั้งหมดนี้ คือรากฐานสำคัญของการสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว "

 


1 ในบทความนี้ ขอละ “การปล่อยก๊าซเรือนกระจก” เป็น “การปล่อย” โดยให้คงความหมายเดิมไว้


ข้อมูลอ้างอิง (References)

  1. Greenhouse Gas Protocol. (n.d.). Corporate Value Chain (Scope 3) Standard.แหล่งข้อมูลพื้นฐานและมาตรฐานหลักระดับโลกที่ให้คำจำกัดความและแนวทางการคำนวณScope 3 Emissions ทั้ง 15 หมวดหมู่
  2. Partnership for Carbon Accounting Financials. (n.d.). The Global GHG Accounting and Reporting Standard for the Financial Industry. มาตรฐานสากลสำหรับภาคการเงินในการวัดและรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการให้สินเชื่อและการลงทุน (Financed Emissions - Category 15)
  3. European Commission. (n.d.). Corporate sustainability reporting. ข้อมูลอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับระเบียบการรายงานความยั่งยืนของบริษัท (CSRD) จากคณะกรรมาธิการยุโรป
  4. European Commission. (n.d.). Carbon Border Adjustment Mechanism. ข้อมูลอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM) จากคณะกรรมาธิการยุโรป
  5. (n.d.). Home. แพลตฟอร์มชั้นนำด้านการเปิดเผยข้อมูลสิ่งแวดล้อมขององค์กร ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มความต้องการข้อมูล Scope 3 จากนักลงทุนและคู่ค้าทั่วโลก
  6. Science Based Targets initiative. (n.d.). Home. องค์กรที่ช่วยให้บริษัทต่าง ๆ สามารถตั้งเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สอดคล้องกับหลักการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งการตั้งเป้าหมาย Scope 3 เป็นส่วนประกอบที่สำคัญ
  7. S. Environmental Protection Agency. (n.d.). Scope 3 Inventory Guidance. คู่มือและแนวปฏิบัติจากหน่วยงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของสหรัฐฯ ที่ให้คำแนะนำเชิงปฏิบัติ เครื่องมือ และแหล่งข้อมูลสำหรับบริษัทที่ต้องการเริ่มต้นคำนวณ Scope 3
  8. Siam Commercial Bank. (2023). Sustainability Report 2023.
  9. TISCO Financial Group. (2023). Sustainability Report 2023.
  10. Thai Vegetable Oil PLC. (2023). 56-1 One Report 2023.
  11. Fortune Parts Industry PLC. (2023). 56-1 One Report 2023.
  12. Apple Inc. (2024). Environmental Progress Report 2024.
 

 


 

📍ทุกเส้นทางมุ่งหน้าสู่ Net Zero: ธุรกิจไทยจะก้าวไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร?

👉 Click เพื่ออ่านบทความ

📍ESG ซ่อนอยู่ตรงไหนในงบการเงิน

👉 Click เพื่ออ่านบทความ

 

📍คัดหุ้นนอกยังไง เมื่อสถานการณ์โลกสุดปั่นป่วน

👉 Click เพื่ออ่านบทความ

 

📍AI ช่วยยกระดับการจัดการข้อมูลด้านความยั่งยืน: เตรียมความพร้อมองค์กรสู่ Net Zero ด้วย ESG Management Platform

👉 Click เพื่ออ่านบทความ

📍การเปิดเผยข้อมูลและการทำรายงานด้านความยั่งยืนที่ ‘น่าเชื่อถือ’ กับความเชื่อมั่นในภาคตลาดทุนไทย

👉 Click เพื่ออ่านบทความ

📍คาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร (CFO): จุดเริ่มต้นธุรกิจไทย เตรียมรับมือ EU CBAM และ CSRD

👉 Click เพื่ออ่านบทความ

📍Scope 3 Emissions คืออะไร? แนวทางจัดการสำหรับธุรกิจไทยเพื่อความได้เปรียบทางการแข่งขัน

👉 Click เพื่ออ่านบทความ