Topic

เมื่อสิ่งที่ "ควรรับมือได้" กลับสร้าง "ความเสียหายฉับพลัน": พลิกวิกฤตความเสี่ยงทางกายภาพ สู่ความยั่งยืนของธุรกิจ

โดย ฝ่ายพัฒนาความรู้ด้านความยั่งยืน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย


ในอดีต ภาพจำของการแก้ปัญหาเมื่อเกิด “อุทกภัย” ในบริบทธุรกิจไทย มักจำกัดอยู่เพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไม่ว่าจะเป็นการเร่งระบายน้ำ การวางแนวกระสอบทราย หรือการฟื้นฟูเยียวยาหลังน้ำลด แต่ในบริบทโลกปัจจุบันที่ความผันผวนกลายเป็นความปกติใหม่ (New Normal) เราจำเป็นต้องกลับมาตั้งคำถามสำคัญต่อสมมติฐานเดิมว่า:

“แท้จริงแล้วน้ำท่วมเป็นเหตุสุดวิสัยที่ ‘ไม่สามารถคาดการณ์ได้’ จริงหรือ? และหากเราสามารถคาดการณ์ได้ การปล่อยให้ความเสียหายเกิดขึ้นโดยไม่มีแผนป้องกันล่วงหน้า (Pre-emptive Mitigation) ยังเป็นแนวทางที่ยอมรับได้ทางธุรกิจหรือไม่?”

เหตุการณ์อุทกภัยในพื้นที่เศรษฐกิจภาคใต้ของไทยช่วงที่ผ่านมา ได้เผยให้เห็นช่องโหว่สำคัญคือการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยส่วนใหญ่ที่อิงสถิติในอดีต (Historical Data) ซึ่งไม่สอดคล้องกับสภาพอากาศในปัจจุบันที่ผันผวน รุนแรง และคาดการณ์ได้ยาก (Non-linear Climate Change) ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินชี้ชัดว่า สมมติฐานเดิมที่อิงสถิติย้อนหลัง 50 ปี เพื่อคาดการณ์ความเสี่ยงที่อาจเกิดน้ำท่วมในปีถัดไป อาจไม่มีน้ำหนักมากพอ

นอกจากนี้ ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยังชี้ชัดว่า ประเทศไทยกำลังเปลี่ยนผ่านจากยุคของความเสี่ยงแบบ “เฉียบพลัน” (Acute Risks) หรือภัยพิบัติชั่วคราว ไปสู่ความเสี่ยงแบบ “เรื้อรัง” (Chronic Risks) ที่จะกัดกร่อนมูลค่าสินทรัพย์และความน่าลงทุนอย่างถาวร หากธุรกิจยังคงใช้มาตรการรับมือแบบเดิม ผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่ใช่แค่ความเสียหายชั่วคราว แต่คือความล้มเหลวในระดับโครงสร้างของกิจการ

เมื่อพิจารณาถึงผลกระทบในวงกว้าง ข้อมูลจาก ADB (2025) ชี้ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) อาจลดลงกว่า 50% ภายในปี 2070  หากไม่มีการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Adaptation) อย่างจริงจัง โดยตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นว่า “การไม่ทำอะไรเลย” หรือ Do Nothing (Inaction) มีราคาที่ต้องจ่ายสูงกว่าการลงทุนเพื่อป้องกันหลายเท่าตัว

ด้วยเหตุนี้ โจทย์ใหญ่ของบริษัทจดทะเบียนไทยจึงไม่ใช่การตั้งคำถามว่า "ควรปรับตัวหรือไม่" แต่คือ "จะปรับตัวอย่างไร" ให้คุ้มค่า ยืดหยุ่น มั่นคง และยั่งยืนในระยะยาว บทความนี้จึงขอนำเสนอแนวทางการวิเคราะห์ความเสี่ยงทางกายภาพแบบเฉียบพลัน (โดยเฉพาะอุทกภัย) ผ่านเลนส์ งบการเงิน


 เมื่อภูมิทัศน์ความเสี่ยงเปลี่ยนไป
…จาก Acute to Chronic 

เพื่อให้เข้าใจผลกระทบของอุทกภัยชัดเจนยิ่งขึ้น จำเป็นต้องเข้าใจบริบทมหภาคที่เปลี่ยนไปเสียก่อน เนื่องด้วยที่ตั้งทางเศรษฐกิจของไทยมีความเปราะบางโดยธรรมชาติ แต่ปัจจัยเร่งใหม่คือการทับซ้อนกันของภัยพิบัติ สิ่งที่เคยเป็น บรรทัดฐาน’ (Baseline) คือการที่เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่สุดในรอบ 100 ปี หรือ 300 ปี กำลังหดสั้นลงเหลือเพียงทุก ๆ 10 ปี ซึ่งหมายความว่า สถิติความเสี่ยงในการรับมือภัยพิบัติ หรือที่บริษัทประกันภัยใช้ในการคำนวณความคุ้มค่าการลงทุนกำลังหมดความหมาย

ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศไทยกำลังเผชิญกับ ผลกระทบแบบทวีคูณ’ (Compund Effect) กล่าวคือ ความเสี่ยงเรื้อรังอย่างระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นในพื้นที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยาและการทรุดตัวของแผ่นดิน เมื่อมาบรรจบกับปัจจัยชั่วคราวอย่างน้ำเหนือและพายุฝน จะก่อให้เกิดน้ำท่วมขังที่ยาวนานและรุนแรงเกินกว่าที่ระบบระบายน้ำเดิมจะรับมือได้ นี่จึงเป็นสัญญาณเตือนว่าโครงสร้างพื้นฐานเดิมกำลังจะสูญเสียขีดความสามารถในการรับมืออย่างสิ้นเชิง

 

 ความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศกับความเชื่อมั่น FDI ของประเทศไทย 

ผลสืบเนื่องหนึ่งที่ร้ายแรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คือผลกระทบต่อความเชื่อมั่น (Trust) เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจไทย อ่อนไหวอย่างยิ่งต่อเสถียรภาพของห่วงโซ่อุปทาน มหาอุทกภัยในอดีตอาจถูกมองว่าเป็นภัยธรรมชาติที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่หากเกิดซ้ำในบริบทใหม่นี้ จะเป็นตัวเร่งให้เกิด "การย้ายฐานการผลิต" (Industrial Exodus)

ในขณะที่ทุนทั่วโลกกำลังมองหาทางเลือกใหม่ภายใต้โจทย์ China Plus One หากประเทศไทยถูกตีตราว่าเป็นพื้นที่ ‘เสี่ยงน้ำท่วมสูง’ และไร้แผนรับมือ/ปรับตัวที่เป็นรูปธรรม เม็ดเงินลงทุนย่อมไหลออกไปสู่คู่แข่งอย่างเวียดนามหรืออินโดนีเซีย นอกจากนี้ บริษัทจัดอันดับเครดิตระดับโลกเริ่มนำปัจจัยความเสี่ยงทางกายภาพมาคำนวณใน Sovereign Credit Rating อย่างเข้มข้นขึ้น ซึ่งหากอันดับเครดิตของประเทศลดลง ย่อมส่งผลโดมิโน (Domino Effect) ให้ต้นทุนทางการเงิน (Cost of Capital) ของภาคเอกชนไทยพุ่งสูงขึ้นตามไปด้วย เป็นการซ้ำเติมขีดความสามารถในการแข่งขันให้ลดต่ำลงไปอีก

 

 ความเสี่ยงทางกายภาพส่งผลกระทบทางการเงินกับธุรกิจอย่างไร? 

เมื่อตระหนักถึงความเสี่ยงมหภาคแล้ว ถัดมาคือการแปลงความเสี่ยงเหล่านั้นว่าสร้างผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจอย่างไร ซึ่งไม่ใช่เพียงคำอธิบายในรายงานความยั่งยืน แต่ควรต้องแสดงให้เห็นชัดผ่านข้อมูลทางการเงินด้วยเช่นกัน โดยสามารถวิเคราะห์ผ่าน ‘งบการเงินทั้ง 4 ส่วน’ ดังนี้

  1. งบฐานะการเงิน/ งบดุล (Balance Sheet): จุดเริ่มต้นของความเสียหาย

    ผลกระทบแรกมักปรากฏขึ้นที่งบดุลในรูปแบบการทำลายมูลค่าของสินทรัพย์ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของกิจการ

    • การด้อยค่าของสินทรัพย์ (Asset Impairment - TAS 36): โรงงานที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เสี่ยง แม้จะยังไม่ถูกน้ำท่วมในวันนี้ แต่หากข้อมูลบ่งชี้ว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า พื้นที่นั้นมีความเสี่ยงที่จะน้ำท่วม และจะไม่สามารถทำประกันภัยได้ ซึ่งจะส่งผลให้มูลค่าจากการใช้ประโยชน์ (Value in Use) ลดฮวบทันที บริษัทจำเป็นต้องตั้งสำรองขาดทุนจากการด้อยค่า ซึ่งไม่เพียงลดทอนสินทรัพย์รวม แต่ยังไปกัดกินส่วนของผู้ถือหุ้นอีกด้วย
    • สินค้าคงเหลือ (Inventory): เมื่อระบบขนส่งเป็นอัมพาตจากน้ำท่วม สินค้าที่ระบายไม่ได้จะกลายเป็น Dead Stock ทันที ซึ่งหากอ้างอิงตามมาตรฐานบัญชี บริษัทต้องตีราคาสินค้าคงเหลือใหม่ตามมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ (NRV) และรับรู้ผลขาดทุนทันทีหากมูลค่าต่ำกว่าทุน
    • หนี้สินแฝง (Contingent Liabilities): นอกจากสินทรัพย์ที่เสียหาย บริษัทอาจเผชิญกับหนี้สินที่คาดไม่ถึงจากการถูกฟ้องร้อง หากระบบป้องกันน้ำของบริษัทไม่มีประสิทธิภาพพอ ส่งผลให้น้ำทะลักจนสร้างผลกระทบต่อชุมชนรอบข้าง

  2. งบกำไรขาดทุน (P&L): แรงบีบอัดจากสองทิศทาง

    ความเสียหายในงบดุลจะส่งผ่านมายังงบกำไรขาดทุนโดยสร้างแรงกดดันทั้งฝั่งรายได้และค่าใช้จ่ายพร้อมกัน 

    • รายได้ที่หายไป (Revenue Volatility): การหยุดชะงักของสายการผลิตไม่ได้หมายถึงแค่ยอดขายที่หายไปชั่วคราว (Lost Sales) แต่ในตลาดโลกที่แข่งขันสูง หมายถึงการเสียส่วนแบ่งการตลาดถาวรให้คู่แข่งที่สามารถส่งมอบสินค้าได้ต่อเนื่อง 
    • ต้นทุนที่พุ่งสูง (Cost Inflation): ในขณะที่รายได้ลดลง ต้นทุนขาย (COGS) กลับพุ่งสูงขึ้นจากการต้องใช้วิธีขนส่งพิเศษเพื่อหนีน้ำ หรือราคาวัตถุดิบที่แพงขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) จะถูกบีบด้วยเบี้ยประกันภัยที่ปรับตัวสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด หรือในกรณีเลวร้ายคือการถูกปฏิเสธการรับประกัน (Uninsurability) ซึ่งจะกลายเป็นต้นทุนคงที่ก้อนโตที่บริษัทต้องแบกรับเอง

  3. งบกระแสเงินสด (Cash Flow): กับดักสภาพคล่อง

    เมื่อกำไรลดลง สถานะเงินสดคือด่านต่อไปที่ได้รับผลกระทบ และมักเป็นจุดชี้ชะตาของธุรกิจในภาวะวิกฤต

    • Operating Cash Flow: วิกฤตน้ำท่วมมักทำให้วงจรเงินสด (Cash Cycle) ขยายตัวออกไป ลูกค้าที่ประสบภัยขอเลื่อนการชำระเงิน ในขณะที่คู่ค้าที่กังวลในสถานะของธุรกิจ กลับเร่งรัดการเก็บเงิน จึงเกิดภาวะ Mismatch ที่ส่งผลให้สภาพคล่องหายออกจากระบบอย่างรวดเร็ว
    • การลงทุนที่เสียโอกาส (Investing Cash Flow): แทนที่จะได้นำเงินสดไปลงทุนขยายธุรกิจหรือพัฒนานวัตกรรม (Growth CAPEX) บริษัทกลับต้องกันเงินไว้เพื่อซ่อมแซมความเสียหายหรือสร้างแนวป้องกัน (Maintenance CAPEX) ทำให้เสียโอกาสในการเติบโตระยะยาว

  4. งบแสดงการเปลี่ยนแปลงส่วนของผู้ถือหุ้น: บทสรุปของมูลค่าที่แท้จริง

    ท้ายที่สุด ผลกระทบทั้งหมดจะไหลมารวมกันที่ส่วนของผู้ถือหุ้น กำไรสะสมที่ลดลงจากการตั้งสำรองและผลขาดทุนย่อมกระทบความสามารถในการจ่ายปันผล และเป็นการทำลายความมั่งคั่งของผู้ถือหุ้นในที่สุด

    ทำไมผู้ลงทุนจึงควรพิจารณางบการเงินทั้ง 4 ส่วนประกอบกัน?

    แม้ว่างบแสดงการเปลี่ยนแปลงส่วนของผู้ถือหุ้นจะช่วยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของมูลค่ากิจการสุทธิ แต่การประเมินความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศทางกายภาพอย่างแม่นยำนั้น ผู้ลงทุนจำเป็นต้องพิจารณางบการเงินให้ครบทั้ง 4 ส่วนแบบองค์รวม (Holistic View) เพราะความเสียหายทางธุรกิจมีความเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก 

    • งบแสดงฐานะการเงิน: บ่งชี้ความเสี่ยงของสินทรัพย์ถาวรและสินค้าคงเหลือ
    • งบกำไรขาดทุน: สะท้อนผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไร
    • งบกระแสเงินสด: เตือนภัยปัญหาสภาพคล่องระยะสั้น
    • งบแสดงการเปลี่ยนแปลงส่วนของผู้ถือหุ้น: สรุปผลกระทบสุทธิต่อความมั่งคั่ง


    ดังนั้น การวิเคราะห์เพียงส่วนใดส่วนหนึ่งอาจทำให้มองไม่เห็นสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าที่สำคัญ ซึ่งอาจนำไปสู่การประเมินมูลค่ากิจการ (Valuation) ที่คลาดเคลื่อนได้

 

 ตัวช่วยสำคัญ…เพื่อสนับสนุนภาคธุรกิจในการปรับตัวต่อความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศทางกายภาพ 

เมื่อการวิเคราะห์ทางการเงินชี้ให้เห็นถึงความเปราะบางของธุรกิจหากไม่ปรับตัว แต่การปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ยากที่จะเกิดขึ้นหากขาดแนวทางและปัจจัยเอื้อหนุน (Enablers) ที่แข็งแกร่ง ดังนี้

การสร้างภูมิคุ้มกันให้ห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Hardening)

การปรับตัวต้องไม่มองแค่ภายในรั้วโรงงาน แต่ต้องมองทั้งระบบนิเวศ ความเสี่ยงมักซ่อนอยู่ในจุดที่เรามองข้าม เช่น ซัพพลายเออร์รายย่อย (SMEs) หากโรงงานผลิตชิ้นส่วนเล็กๆ เพียงแห่งเดียวถูกน้ำท่วม สายการผลิตรถยนต์ทั้งคันก็อาจหยุดชะงัก ธุรกิจขนาดใหญ่จึงต้องเปลี่ยนบทบาทจาก "ผู้ซื้อ" มาเป็น "พี่เลี้ยง" ช่วยซัพพลายเออร์ประเมินความเสี่ยง ควบคู่ไปกับ การกระจายความเสี่ยง (Diversification) ด้วยการมีแหล่งผลิตสำรอง (Dual Sourcing) ซึ่งแม้จะมีต้นทุนเพิ่มขึ้น แต่มันคือเบี้ยประกันที่คุ้มค่าเพื่อป้องกันการหยุดชะงักของธุรกิจ

การใช้ธรรมชาติเป็นโครงสร้างพื้นฐาน (Nature-based Solutions: NbS)

ในเชิงวิศวกรรม การสร้างกำแพงปูน/คอนกรีต (Grey Infrastructure) เพียงอย่างเดียวพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าทั้งมีค่าใช้จ่ายที่สูงและไม่ยั่งยืนในระยะยาว แนวทางสมัยใหม่จึงหันมาใช้ "เมืองฟองน้ำ" (Sponge City) หรือการออกแบบนิคมอุตสาหกรรมให้สามารถ "อมน้ำ" ได้ เช่น พื้นที่ชุ่มน้ำหรือแก้มลิงธรรมชาติ วิธีนี้ไม่เพียงช่วยลดความรุนแรงของน้ำท่วมได้ดีกว่าเขื่อนคอนกรีต แต่ยังสร้างผลพลอยได้ (Co-benefit) เช่น คาร์บอนเครดิต ซึ่งตอบโจทย์เป้าหมาย Net Zero ไปพร้อมกัน

บทความที่เกี่ยวข้อง:
Nature-based Solution (NbS) …ทางรอดของธุรกิจในปัจจุบัน | SET ESG Academy

ข้อมูลนำทาง: จากพยากรณ์อากาศสู่ Climate Intelligence

การตัดสินใจลงทุนเพื่อปรับตัวนั้นไม่สามารถพึ่งพาพยากรณ์อากาศทั่วไปได้ ธุรกิจต้องการ Asset-Level Intelligence หรือข้อมูลความเสี่ยงระดับรายสินทรัพย์ เช่น การใช้เทคโนโลยี LiDAR ทำแผนที่ความสูงต่ำของพื้นที่โรงงานระดับเซนติเมตร หรือการทำแบบจำลองทางชลศาสตร์ (Hydrological Simulation) เพื่อจำลองสถานการณ์น้ำท่วมในฉากทัศน์ต่างๆ (RCP 4.5/8.5) โดยข้อมูลเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยง เพิ่มความคุ้มค่าในการตัดสินใจ

บูรณาการสู่การบริหาร: ทำให้เป็นเรื่องของทุกคน

ข้อมูลที่ดีต้องถูกนำไปใช้ การปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศต้องถูกยกระดับให้เป็น KPI ของผู้บริหารระดับสูง (C-Suite) โดยเฉพาะ CFO และ CEO อีกเครื่องมือที่สำคัญคือการใช้ Internal Carbon Pricing (ICP) หรือราคาคาร์บอนเงา เพื่อทดสอบความคุ้มค่าของโครงการลงทุนใหม่ โดยสะท้อนต้นทุนแฝงด้านสิ่งแวดล้อมเข้าไปในการคำนวณผลตอบแทน

มาตรฐานการเปิดเผยข้อมูล: เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส

ในยุคของมาตรฐาน IFRS S2 การเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยงทางกายภาพไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นข้อบังคับ บริษัทที่สามารถเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยงและแผนการรับมือได้อย่างโปร่งใส จะสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดเม็ดเงินจากนักลงทุนที่เน้นความยั่งยืนได้มากกว่า พลิกวิกฤตด้านความน่าเชื่อถือให้กลายเป็นจุดแข็ง

การระดมทุน: เครื่องมือทางการเงินรูปแบบใหม่

สุดท้าย ภาคการเงินเองกำลังปรับตัว จากเดิมที่เป็นเพียงผู้คัดกรองความเสี่ยง ปัจจุบันธนาคารและตลาดทุนเริ่มมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อสนับสนุนการปรับตัว (Adaptation Finance) เช่น สินเชื่อเพื่อการปรับตัว (Adaptation Loans) หรือ ตราสารหนี้เพื่อการปรับตัว (Adaptation Bonds) ซึ่งเป็นช่องทางใหม่ในการระดมทุนระยะยาวสำหรับโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้การลงทุนเพื่อความยั่งยืนเป็นเรื่องที่จับต้องได้ทางการเงิน

 


2 หลักคิดเพื่อการลงมือทำทันที (Call to Action):

  1. มองการป้องกันเป็นการลงทุน: งบประมาณสร้างระบบระบายน้ำหรืองบในการยกระดับ Supply Chain ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่เสียเปล่า (Sunk Cost) แต่คือการการันตีรายได้ในอนาคตและปกป้องมูลค่ากิจการจากการด้อยค่าฉับพลัน
  2. พลิกวิกฤตสร้างแต้มต่อ: ในวันที่คู่แข่งอาจสะดุดเพราะความไม่พร้อมในการรับมือภัยพิบัติ ความพร้อมของเราจะกลายเป็นแต้มต่อสำคัญในการดึงดูดลูกค้าและผู้ลงทุนที่มองหาความมั่นคง


 ธุรกิจที่
“ปรับตัว” คือธุรกิจที่ “อยู่รอด” อย่างยั่งยืน 

จากการวิเคราะห์ข้างต้น ข้อเท็จจริงหนึ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้คือ "ความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ คือความเสี่ยงทางการเงิน" (Climate Risk is Financial Risk) การจำกัดมุมมองเรื่องนี้ไว้เพียงกรอบของการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ หรือการสร้างภาพลักษณ์ คือความประมาท (Negligence) ที่อาจส่งผลร้ายแรงได้

การตั้งรับเมื่อภัยมาถึงไม่ใช่กลยุทธ์ที่ตอบโจทย์อีกต่อไป ผู้บริหารจำเป็นต้องเปลี่ยนมุมมองต่อการปรับตัวให้กลายเป็น วิสัยทัศน์ที่สร้างความได้เปรียบเพื่อปกป้องผลกำไรในระยะยาว

เพราะท่ามกลางความผันผวนของสภาพอากาศ สิ่งเดียวที่ควบคุมได้คือความพร้อม ธุรกิจที่จะยืนหยัดได้ในทศวรรษหน้า ไม่ใช่ธุรกิจที่มีสินทรัพย์มากที่สุด แต่คือธุรกิจที่มีความยืดหยุ่น ปรับตัวได้ไวที่สุด และมองขาดที่สุดท่ามกลางความผันผวนนี้

 

 

 


เอกสารอ้างอิง (References) 

  • Abe, M., & Adriaens, P. (2025). Assessment of Corporate Financial Flood Risks Due to Property Damage and Business Interruption Loss. International Journal of Disaster Risk Science, 16, 464-480. 
  • Committee of Sponsoring Organizations of the Treadway Commission (COSO) & WBCSD. (2018). Enterprise Risk Management: Applying enterprise risk management to environmental, social and governance-related risks.  
  • DHIMA, Julien and Ali IRAVANI, Mohammad and ITAM, Emmanuelle and BOIDOT-DOREMIEUX, Thomas (2025). Integration of Physical Climate Risks Into Banks' Credit Risk and Capital Assessment: A Case Study on the Impact of Flooding on Real Estate Portfolios.  
    Available at SSRN: https://ssrn.com/abstract=5120353 or http://dx.doi.org/10.2139/ssrn.5120353 
  • Global Commission on Adaptation (GCA). (2019). Adapt Now: A Global Call for Leadership on Climate Resilience
  • International Sustainability Standards Board (ISSB). (2023). IFRS S2 Climate-related Disclosures.  
  • Network for Greening the Financial System (NGFS). (2022). NGFS Climate Scenarios for central banks and supervisors.  
  • United Nations Environment Programme (2025). Adaptation Gap Report 2025: Running on empty. The world is gearing up for climate resilience — without the money to get there [Neufeldt, H., Hammill, A., Leiter, T., Magnan, A., Watkiss, P., Bakhtiari, F., Bueno Rubial, P., Butera, B., Canales, N., Chapagain, D., Christiansen, L., Dale, T., Milford, F., Niles, K., Njuguna, L., Pauw, P., Singh, C. and Yang, G.]. Nairobi. https://wedocs.unep.org/bitstream/handle/20.500.11822/48798/AGR2025.pdf?sequence=5&isAllowed=y  
 

 

 


บทความเพิ่มเติม

📍ทุกเส้นทางมุ่งหน้าสู่ Net Zero: ธุรกิจไทยจะก้าวไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร?

👉 Click เพื่ออ่านบทความ

📍ESG ซ่อนอยู่ตรงไหนในงบการเงิน

👉 Click เพื่ออ่านบทความ

📍คัดหุ้นนอกยังไง เมื่อสถานการณ์โลกสุดปั่นป่วน

👉 Click เพื่ออ่านบทความ

📍AI ช่วยยกระดับการจัดการข้อมูลด้านความยั่งยืน: เตรียมความพร้อมองค์กรสู่ Net Zero ด้วย ESG Management Platform

👉 Click เพื่ออ่านบทความ

📍การเปิดเผยข้อมูลและการทำรายงานด้านความยั่งยืนที่ ‘น่าเชื่อถือ’ กับความเชื่อมั่นในภาคตลาดทุนไทย

👉 Click เพื่ออ่านบทความ

📍คาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร (CFO): จุดเริ่มต้นธุรกิจไทย เตรียมรับมือ EU CBAM และ CSRD

👉 Click เพื่ออ่านบทความ

📍Scope 3 Emissions คืออะไร? แนวทางจัดการสำหรับธุรกิจไทยเพื่อความได้เปรียบทางการแข่งขัน

👉 Click เพื่ออ่านบทความ

📍การดูแลพนักงานไม่ใช่แค่ “ค่าใช้จ่าย” แต่คือการลงทุนใน “สินทรัพย์ที่มีคุณภาพ”

👉 Click เพื่ออ่านบทความ

📍(ร่าง) พ.ร.บ. Climate Change, Carbon Tax และ TH-ETS กำลังจะมา: พลิกกฎเกมธุรกิจไทยสู่ความได้เปรียบในเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

👉 Click เพื่ออ่านบทความ

📍Climate Risk และ Scenario Analysis: แนวทางบริหารความเสี่ยงธุรกิจไทย

👉 Click เพื่ออ่านบทความ

📍ความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชนในยุค AI: ต้นทุนแฝงและผลกระทบที่องค์กรต้องรับมือ

👉 Click เพื่ออ่านบทความ

📍พลิกเกมลงทุน ส่องโอกาสทำกำไรจาก 8 อุตสาหกรรมในเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

👉 Click เพื่ออ่านบทความ

📍EUDR: ทางรอดเกษตรกรไทยและห่วงโซ่อุปทาน ยางพารา ปาล์ม กาแฟ

👉 Click เพื่ออ่านบทความ

📍Super-aged Society ผลกระทบ โอกาส และแนวทางปรับตัวของธุรกิจไทย

👉 Click เพื่ออ่านบทความ

📍ก้าวข้ามความท้าทายของ Thailand Taxonomy เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจไทยสู่ความยั่งยืน

👉 Click เพื่ออ่านบทความ

📍พลิกความเสี่ยง คว้าโอกาสลงทุนด้วยเข็มทิศ ESG

👉 Click เพื่ออ่านบทความ

📍ธุรกิจ Start-up ที่มีโครงสร้าง Corporate Governance ที่แข็งแรง จะเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

👉 Click เพื่ออ่านบทความ

📍Food Waste: จากต้นทุนที่มองไม่เห็น สู่โอกาสทางธุรกิจในเศรษฐกิจหมุนเวียนสำหรับ MSMEs

👉 Click เพื่ออ่านบทความ

📍องค์กรจะรอดหรือไม่...วัดกันที่บอร์ดบริหารเข้าใจและกำกับดูแล ESG จริงจังแค่ไหน

👉 Click เพื่ออ่านบทความ

📍พลิกหนี้เป็นกำไรด้วย ESG...กลยุทธ์ลงทุน (CapEx) เพื่อหั่นต้นทุน (OpEx) และเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ

👉 Click เพื่ออ่านบทความ

📍เมื่อสิ่งที่ "ควรรับมือได้" กลับสร้าง "ความเสียหายฉับพลัน": พลิกวิกฤตความเสี่ยงทางกายภาพ สู่ความยั่งยืนของธุรกิจ

👉 Click เพื่ออ่านบทความ