Topic

(ร่าง) พ.ร.บ. Climate Change, Carbon Tax และ TH-ETS กำลังจะมา: พลิกกฎเกมธุรกิจไทยสู่ความได้เปรียบในเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

โดย ฝ่ายพัฒนาความรู้ด้านความยั่งยืน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

 

หมายเหตุ: บทความนี้เป็นบทความต่อยอดจากประเด็นที่ถูกพูดถึงในงาน SET Sustainability Forum 2/2025 (16 ก.ค. 68) รับชมย้อนหลังได้ที่ LINK


สิ่งที่คุณจะได้รับจากบทความนี้ (Highlights)

  • เจาะลึกกฎหมายใหม่: ทำความเข้าใจสาระสำคัญของ (ร่าง) พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่จะเปลี่ยนการรายงานข้อมูลคาร์บอนจาก "ภาคสมัครใจ" สู่ "ภาคบังคับ" พร้อมทำความเข้าใจบทลงโทษ
  • ทำความเข้าใจกลไกราคาคาร์บอนภาคบังคับ: วิเคราะห์ "ภาษีคาร์บอน (Carbon Tax)" และ "ระบบซื้อขายสิทธิ (ETS)" ที่จะสร้าง "ต้นทุน" ให้กับการปล่อยมลพิษเป็นครั้งแรกในไทย และส่งผลโดยตรงต่อการดำเนินธุรกิจ
  • ถอดบทเรียนจากนโยบายคาร์บอนในต่างประเทศ: เรียนรู้จากประสบการณ์ของสหภาพยุโรป สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เพื่อประเมินแนวทางของไทยและเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายที่อาจเกิดขึ้น
  • ทำความเข้าใจเครื่องมือสนับสนุนสำคัญ: รู้จัก "Thailand Taxonomy" กรอบจำแนกกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพื่อชี้นำการลงทุน และ "กองทุนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" แหล่งเงินทุนใหม่เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของภาคธุรกิจ

 

บทนำ: กติกาใหม่ของธุรกิจไทย – เมื่อการปล่อยคาร์บอนมีต้นทุนที่ต้องจัดการ


ภูมิทัศน์การทำธุรกิจในประเทศไทยกำลังจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่แค่จากแรงกดดันของตลาดโลกและผู้บริโภค แต่จาก "กฎหมาย" ที่กำลังจะมีผลบังคับใช้โดยตรง นั่นคือ (ร่าง) พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะเป็นกรอบกฎหมายฉบับแรกของไทยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยเฉพาะ และจะมาพร้อมกับเครื่องมือสำคัญที่จะเปลี่ยนการคำนวณต้นทุนทางธุรกิจอย่าง ภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) และ ระบบการซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Trading Scheme: ETS)  

บทความนี้จะเป็นข้อมูลสรุปสำหรับผู้บริหารและผู้ลงทุน ตั้งแต่บริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ไปจนถึงผู้ประกอบการ MSMEs เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจทางธุรกิจและการลงทุนในบริบทใหม่ที่กำลังจะมาถึง เพราะสำหรับองค์กรที่เตรียมพร้อมและปรับตัวได้ก่อน นอกจากการจัดการความเสี่ยงแล้ว ยังเพิ่มโอกาสในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันและขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนในเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอีกด้วย

 

 

ส่วนที่ 1: กลไกเชิงนโยบายและการบังคับใช้กฎหมายด้านสภาพภูมิอากาศ

เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับภูมิทัศน์ทางธุรกิจที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไป ความเข้าใจในบริบทของกฎหมายและกลไกใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยมี (ร่าง) พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นกรอบการดำเนินงานหลัก และมีภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) กับระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ETS) เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเชิงเศรษฐศาสตร์ ซึ่งคาดว่าจะถูกเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีภายในปี 2568 นี้

 

  • (ร่าง) พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: กฎหมายแม่บทฉบับแรกของไทย

    พ.ร.บ. ฉบับนี้ถือเป็นกฎหมายแม่บทฉบับแรกที่ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างกรอบการดำเนินงานที่ชัดเจนและเป็นระบบให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ได้ตามที่ให้คำมั่นกับประชาคมโลกไว้  สาระสำคัญที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคธุรกิจปรากฏอยู่ในหมวด 6 ของร่างกฎหมาย [3] ซึ่งกำหนดภาระหน้าที่ใหม่ที่สำคัญคือ:


    • การรายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคบังคับ:
      ธุรกิจที่เข้าข่ายตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด (ซึ่งจะประกาศโดยคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ) มีหน้าที่ต้องจัดทำบัญชีและรายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG Inventory) ขององค์กรตนเองต่อกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (DCCE) การบังคับใช้นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างฐานข้อมูลกลางระดับประเทศ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการกำหนดนโยบายและติดตามความคืบหน้าการลดก๊าซเรือนกระจกของไทย [4] [5]

    • บทลงโทษที่ชัดเจน:
      เพื่อให้เกิดการปฏิบัติตามอย่างจริงจัง ร่างกฎหมายได้กำหนดบทลงโทษสำหรับธุรกิจที่ไม่จัดทำหรือไม่รายงานข้อมูลตามกำหนด โดยมีความผิดทางพินัยต้องชำระค่าปรับตามมาตรา 176 โดยเป็นพินัยตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท และปรับอีกวันละไม่เกินหนึ่งพันบาทจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง สิ่งนี้บ่งชี้ว่าข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรจะกลายเป็นข้อมูลพื้นฐานที่ทุกธุรกิจจำเป็นต้องมีและเปิดเผย

 

  • ภาษีคาร์บอน (Carbon Tax): เมื่อการปล่อยมลพิษมี "ราคา" ที่ต้องจ่าย

    ภาษีคาร์บอนเป็นกลไกทางเศรษฐศาสตร์ที่ตั้งอยู่บนหลักการสากลที่ว่า "ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย" (Polluter Pays Principle) ซึ่งเป็นการกำหนดต้นทุนให้กับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ภาคธุรกิจลดการปล่อยคาร์บอนลงอย่างมีนัยสำคัญ


    • การบังคับใช้และผลกระทบต่อต้นทุน:
      กรมสรรพสามิตได้เริ่มจัดเก็บภาษีคาร์บอนจาก "น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน" เป็นกลุ่มแรกแล้วตั้งแต่ปีงบประมาณ 2568 โดยมีข้อเสนออัตราเบื้องต้นอยู่ที่ 80-120 บาทต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2​e) ขึ้นอยู่กับประเภทของน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน แม้ในระยะแรกภาครัฐจะยืนยันว่าการเก็บภาษีนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีก เนื่องจากเป็นการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตน้ำมันเดิม แต่ในเชิงโครงสร้างต้นทุนของภาคธุรกิจ การปล่อยคาร์บอนจะมีราคาที่จับต้องได้เป็นครั้งแรก การกำหนดราคาคาร์บอนนี้เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าต้นทุนพลังงานฟอสซิลในระยะยาวมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นตามปริมาณคาร์บอนที่ปล่อยออกมา

    • แผนการขยายผลในอนาคต:
      ทิศทางในอนาคตมีความชัดเจนว่าแผนการจัดเก็บภาษีคาร์บอนมีแนวโน้มที่จะขยายให้ครอบคลุมไปยังสินค้าและภาคการผลิตอื่น ๆ ในระยะต่อไป (Phase II & III) 1 เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการผลิตและการบริโภคอย่างจริงจัง

 

  • ระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (TH-ETS): โอกาสสำหรับผู้ปรับตัวได้เร็ว [8]

    ETS เป็นอีกหนึ่งกลไกราคาคาร์บอนที่ทำงานคู่ขนานไปกับภาษีคาร์บอน แต่มีเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงกว่า โดยจะใช้กับกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดกลาง-ใหญ่ที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง เช่น ภาคอุตสาหกรรมพลังงานและปิโตรเคมี เป็นต้น


    • หลักการ ‘Cap and Trade’ :
      ภาครัฐจะกำหนด เพดาน (Cap) การปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยรวมสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย จากนั้นจะจัดสรร สิทธิในการปล่อย (Allowances) ให้กับแต่ละบริษัทในปริมาณที่จำกัด บริษัทที่สามารถลดการปล่อยก๊าซฯ ของตนเองได้ต่ำกว่าสิทธิที่ได้รับ จะสามารถนำสิทธิส่วนเกินนั้นไป ขาย (Trade) ในตลาดให้กับบริษัทอื่นที่ปล่อยเกินเพดานและต้องการซื้อสิทธิเพิ่มเติม

    • สร้างมูลค่าให้กับการลดคาร์บอน:
      หัวใจของระบบ ETS คือการสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐศาสตร์ที่ทำให้การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกลายเป็นสินทรัพย์ที่ซื้อขายได้ และเป็นโอกาสใหม่สำหรับองค์กรที่มีการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ

 

การที่ภาครัฐเลือกใช้ทั้ง Carbon Tax และ ETS พร้อมกัน สะท้อนถึงกลยุทธ์ "การกำหนดราคาคาร์บอนแบบสองราง" (Dual-Track Carbon Pricing) [9] โดย ETS จะมุ่งเน้นการควบคุม "ปริมาณ" การปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีศักยภาพในการลดสูง ในขณะที่ Carbon Tax จะเป็นการควบคุม "ราคา" ผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นหากปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยทั้งสองกลไกต่างส่งผลกระทบในวงกว้างต่อทั้งระบบเศรษฐกิจผ่านต้นทุนพลังงาน ดังนั้น ภารกิจแรกของผู้ประกอบการ คือการประเมินว่าธุรกิจของตนเองเข้าข่ายที่จะได้รับผลกระทบจากกลไกไหน เพื่อที่จะวางกลยุทธ์รับมือได้อย่างถูกต้อง

 

  • มองเขาเทียบเรา: บทเรียนจากต่างประเทศ

    การออกแบบกลไกราคาคาร์บอนมีทั้งความสำเร็จและความท้าทาย หลายประเทศได้นำร่องใช้ก่อนหน้าไทย และมีบทเรียนที่น่าสนใจซึ่งประเทศไทยสามารถเรียนรู้ได้ ดังนี้:


    • บทเรียนจากสหภาพยุโรป (EU ETS):
      ในฐานะผู้บุกเบิกระบบตลาดคาร์บอนที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในโลก (ตั้งแต่ปี 2005) EU ETS คือกรณีศึกษาที่เป็นพื้นฐานของการพัฒนาตลาดคาร์บอนทั่วโลก โดยบทเรียนสำคัญคือ ในช่วงแรกระบบประสบปัญหา "การจัดสรรสิทธิในการปล่อย (Allowances) เป็นอิสระมากเกินไป" ทำให้ราคาคาร์บอนในตลาดต่ำมาก และไม่สามารถสร้างแรงจูงใจให้เกิดการลดการปล่อยก๊าซฯ ได้จริง สหภาพยุโรปได้แก้ไขปัญหานี้ในระยะต่อมา (Phase 3 และ 4) โดยการลดเพดานการปล่อยฯ โดยรวม เพิ่มความเข้มงวดขึ้น ลดการจัดสรรสิทธิฟรี และจัดตั้ง "กองทุนสำรองเสถียรภาพตลาด" (Market Stability Reserve - MSR) เพื่อดูดซับสิทธิส่วนเกินออกจากระบบ ความสำเร็จของ EU ETS ในการลดการปล่อยก๊าซฯ ได้ถึง 47% ในภาคอุตสาหกรรมและพลังงาน (เทียบกับปี 2005) และการขยายขอบเขตไปสู่ภาคการเดินเรือ และเตรียมเปิดตลาดใหม่สำหรับภาคอาคารและขนส่ง (ETS2) รวมถึงการออกมาตรการ CBAM สะท้อนให้เห็นถึงวิวัฒนาการของกลไกที่เติบโตและปรับตัวอย่างต่อเนื่องเพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ อีกด้วย

    • บทเรียนจากเกาหลีใต้ (K-ETS):
      เกาหลีใต้เป็นหนึ่งในประเทศแรก ๆ ในเอเชียที่นำระบบ ETS มาใช้ตั้งแต่ปี 2015 และปัจจุบันครอบคลุมการปล่อยก๊าซฯ ของประเทศถึง 79% [10]
      บทเรียนสำคัญ:การบังคับใช้ K-ETS ในช่วงแรกไม่สามารถลดการปล่อยก๊าซฯ ในอุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้าได้อย่างมีนัยสำคัญ สาเหตุหลักมาจากโครงสร้างตลาดไฟฟ้าที่ผูกขาดและควบคุมราคา ส่งผลให้ผู้ผลิตไฟฟ้าต้องแบกรับต้นทุนคาร์บอนที่สูงขึ้นเพราะไม่สามารถส่งผ่านต้นทุนนี้ไปยังผู้บริโภค(ราคาค่าไฟฟ้าต่อหน่วย)ได้ เมื่อไม่มีแรงกดดันด้านต้นทุน แรงจูงใจในการลงทุนเพื่อลดการปล่อยก๊าซฯ จึงลดลงและหมดไปในที่สุด ผลลัพธ์ดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าความสำเร็จของกลไกตลาดคาร์บอนภาคบังคับขึ้นอยู่กับการออกแบบนโยบายแวดล้อมอื่น ๆ ให้สอดคล้องกัน เพื่อให้เกิดเป็นระบบนิเวศที่เอื้อต่อการแข่งขันด้วย [11]

    • บทเรียนจากสิงคโปร์ (Carbon Tax):
      สิงคโปร์เป็นประเทศแรกในอาเซียนที่เริ่มใช้ภาษีคาร์บอนตั้งแต่ปี 2019 โดยได้นำเสนอโมเดล "การปรับขึ้นแบบขั้นบันได" (Phased-in Approach) ที่ชัดเจน เริ่มต้นที่อัตรา 5 SGD ต่อตันคาร์บอน (2019-2023) และได้ปรับขึ้นเป็น 25SGD ต่อตันในปี 2024-2025 และมีแผนจะปรับขึ้นเป็น 45 SGD ในปี 2026-2027 และสู่ระดับ 50-80 SGDภายในปี 2030 บทเรียนสำคัญจากสิงคโปร์ คือการสร้างสมดุลระหว่างเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศกับความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลได้ให้ "เงินอุดหนุนในช่วงเปลี่ยนผ่าน (Transitory Allowances) แก่อุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซฯ สูง (Emissions-Intensive) และมีการแข่งขันในตลาดโลกสูง (Trade-Exposed) เพื่อช่วยลดภาระและรักษาความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้บริษัทสามารถใช้คาร์บอนเครดิตคุณภาพสูงจากต่างประเทศ (International Carbon Credits) มาหักลบภาระภาษีได้สูงสุด 5% เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับภาคธุรกิจอีกด้วย

    • บทเรียนจากญี่ปุ่น (GX League):
      ญี่ปุ่นนำเสนอโมเดลที่แตกต่างและน่าจับสนใจมาก คือ GX League ซึ่งเป็นระบบที่ขับเคลื่อนโดยภาคเอกชนในลักษณะ "ภาคสมัครใจ" (Voluntary) แต่มีประสิทธิภาพอย่างมาก โดยในปัจจุบันมีบริษัทยักษ์ใหญ่เข้าร่วมแล้วกว่า 747 แห่ง ซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมกันกว่า 50% ของทั้งประเทศ [12] จุดเด่นของโมเดลนี้คือการได้รับการสนับสนุนอย่างมหาศาลจากภาครัฐ ซึ่งตั้งเป้าอัดฉีดเงินลงทุนเพื่อการเปลี่ยนผ่านสีเขียว (Green Transformation - GX) สูงถึง 150 ล้านล้านเยน (ประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในระยะเวลา 10 ปี [13] แนวคิดหลักคือ "การกำหนดราคาคาร์บอนที่มุ่งเน้นการเติบโต" (Growth-oriented Carbon Pricing) ซึ่งไม่ได้มองว่าคาร์บอนเป็นเพียง ต้นทุนที่ต้องกำจัด แต่มองว่าเป็น การลงทุนเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันและขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต [14]

 


 

 

ส่วนที่ 2: เครื่องมือสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ

เมื่อเข้าใจกรอบกฎหมายและกลไกราคาคาร์บอนแล้ว ลำดับถัดมาคือการทำความรู้จักกับเครื่องมือสำคัญที่ภาครัฐและหน่วยงานกำกับดูแลได้พัฒนาขึ้น เพื่อเป็นแนวทางและกลไกสนับสนุนทางการเงินให้ภาคธุรกิจสามารถเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำได้อย่างเป็นรูปธรรม

 

Thailand Taxonomy: กรอบอ้างอิงกลางเพื่อกำหนดทิศทางการลงทุน

Thailand Taxonomy คือกรอบอ้างอิงกลางสำหรับจำแนกกิจกรรมทางเศรษฐกิจว่ากิจกรรมประเภทใดถือว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสอดคล้องกับเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศของประเทศ กรอบการดำเนินงานนี้ถูกพัฒนาขึ้นโดยความร่วมมือของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.), กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (DCCE) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

 

  • ระบบสัญญาณไฟจราจร:
    เพื่อให้เข้าใจง่าย Taxonomy ได้จำแนกกิจกรรมทางเศรษฐกิจออกเป็น 3 ประเภท คล้ายกับสัญญาณไฟจราจร:
     
    • สีเขียว (Green): คือกิจกรรมที่ส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมีนัยสำคัญ สอดคล้องกับเป้าหมายการจำกัดการเพิ่มอุณหภูมิของโลก และใกล้เคียงกับเป้าหมาย Net Zero เช่น การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นต้น

    • สีเหลือง (Amber/Transitional): คือกิจกรรมที่ยังมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ แต่มีความจำเป็นต่อระบบเศรษฐกิจในระยะเปลี่ยนผ่าน และมีแผนการลดคาร์บอนที่ชัดเจน สอดคล้องกับทิศทางของประเทศ เช่น การปรับปรุงการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติให้มีประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือมากขึ้น เป็นต้น

    • สีแดง (Red): คือกิจกรรมที่ไม่สอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาวและควรทยอยลดหรือเลิกกิจการไปในที่สุด เช่น การผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินที่ไม่มีเทคโนโลยีดักจับคาร์บอน เป็นต้น

  • เจาะลึก Taxonomy Phase 2:
    ในเดือนพฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมามีการประกาศใช้ Thailand Taxonomy Phase 2 ซึ่งขยายขอบเขตให้ครอบคลุมภาคเศรษฐกิจที่สำคัญและส่งผลกระทบในวงกว้าง ได้แก่ ภาคเกษตรกรรม การก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ ภาคการผลิต และการจัดการของเสีย (Phase 1 เน้นภาคพลังงานและการขนส่ง) โดยมีเกณฑ์ที่น่าสนใจดังนี้:

    • ภาคเกษตร: เนื่องจากความซับซ้อนและข้อจำกัดในการวัดค่าการปล่อยก๊าซฯ โดยตรงในระดับแปลงเกษตรกรรม/ไร่นา จึงใช้แนวทางที่ยืดหยุ่นและปฏิบัติได้ง่ายขึ้น โดยอิงตาม "การปฏิบัติ" (Practice-based) แทนการวัดค่าโดยตรง เช่น แผนจัดการฟาร์มแบบบูรณาการ (IFMP) หรือการได้รับการรับรองตามมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับอย่างเกษตรอินทรีย์ (GAP) หรือ T-VER เป็นต้น จึงถือว่าเข้าข่ายกิจกรรมสีเขียวหรือสีเหลืองได้

    • ภาคการผลิต: มีการแบ่งกลุ่มที่ชัดเจนคือ กลุ่ม "ลดคาร์บอนยาก" (Hard-to-abate) เช่น การผลิตปูนซีเมนต์และเหล็ก เป็นต้น และกลุ่ม "ส่งเสริม" (Enabling) ที่ช่วยให้ภาคส่วนอื่นลดคาร์บอนได้ เช่น การผลิตแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า การผลิตแผงโซลาร์เซลล์ เป็นต้น โดยทั้งสองกลุ่มมีเกณฑ์อิงตามแนวทางการลดคาร์บอน (Decarbonization Pathway) ที่เข้มงวด

    • ภาคการก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์: มุ่งเป้าไปที่การปล่อยก๊าซฯ จำนวนมากจากการดำเนินงานของอาคาร เช่น การทำความร้อน การทำความเย็น แสงสว่าง เป็นต้น และคาร์บอนแฝงในวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งนี้กรอบการทำงานนี้มี 2 แนวทางสำหรับอาคารใหม่ ใช้ทั้งตัวชี้วัดประสิทธิภาพโดยตรงและการรับรองอาคารเขียวที่เป็นที่ยอมรับ ซึ่งสะท้อนถึงแนวทางปฏิบัติที่คำนึงถึงความพร้อมของข้อมูลและแนวทางปฏิบัติของตลาด

    • ภาคการจัดการของเสีย: มีโครงสร้างที่ปฏิบัติตามลำดับชั้นการจัดการของเสียอย่างชัดเจนคือ ป้องกัน ใช้ซ้ำ
      รีไซเคิล นำกลับมาใช้ใหม่ และสุดท้ายคือการกำจัด เกณฑ์เหล่านี้สร้างแรงจูงใจทางการเงินในการผลักดันของเสียขึ้นไปตามลำดับชั้นนี้ โดยมองว่าของเสียเป็นทรัพยากรมากกว่าปัญหา จุดมุ่งเน้นหลักคือการมีส่วนร่วมในเศรษฐกิจหมุนเวียน และการป้องกันมลพิษ

 

กองทุนภูมิอากาศ (Climate Fund): กลไกทางการเงินเพื่อการเปลี่ยนผ่าน

กองทุนภูมิอากาศ หรือ Climate Fund เป็นกลไกทางการเงินที่สำคัญที่จะช่วยสนับสนุนการลงทุนของภาคธุรกิจเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ Net Zero กองทุนนี้จัดตั้งขึ้นภายใต้หมวด 4 ของ (ร่าง) พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมีสถานะเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากเพื่อความคล่องตัวในการบริหารจัดการ

  • แหล่งที่มาของเงินทุน: รายได้ของกองทุนจะมาจากมาตรการด้านคาร์บอนโดยตรง เช่น รายได้จากการประมูลสิทธิในระบบ ETS รายได้จากภาษีคาร์บอน ค่าปรับ และเงินอุดหนุนจากรัฐบาล เป็นต้น ซึ่งเป็นการนำเงินจาก "ผู้ก่อมลพิษ" กลับมาสนับสนุน "ผู้ที่ต้องการลดมลพิษ" ตามหลักการ Polluter Pays Principle

  • รูปแบบการสนับสนุนที่เน้นช่วยเหลือ MSMEs: กองทุนนี้จะเน้นการสนับสนุนเงินทุนในรูปแบบสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Low-Interest Green Loans) และการทำงานร่วมกับสถาบันการเงินในลักษณะ Fund of Funds เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของโครงการสีเขียว โดยจะอ้างอิงเกณฑ์ตาม Thailand Taxonomy เพื่อให้สถาบันการเงินกล้าที่จะปล่อยสินเชื่อกับผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กมากขึ้น

 


 

การทำงานร่วมกันของ Taxonomy และ Climate Fund: กลไกสร้างแรงจูงใจและลดความเสี่ยง

การทำงานร่วมกันของ Thailand Taxonomy และ Climate Fund จะสร้างระบบนิเวศทางการเงินที่เอื้อต่อการเปลี่ยนผ่านอย่างเป็นระบบ โดยใช้กลไกที่สร้างทั้งแรงจูงใจและแรงกดดันไปพร้อมกัน

  • Taxonomy จะทำหน้าที่ส่งสัญญาณเชิงชี้นำ (Signaling) ไปยังตลาดการเงินว่ากิจกรรม "สีแดง" จะมีความเสี่ยงสูงและเข้าถึงแหล่งทุนได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ ในทางกลับกัน กิจกรรมที่เข้าข่าย "สีเขียว" และ "สีเหลือง" จะถูกมองว่ามีความเสี่ยงต่ำกว่าและน่าดึงดูดสำหรับผู้ลงทุนและสถาบันการเงิน

  • Climate Fund จะเข้ามาทำหน้าที่เป็นกลไกสร้างแรงจูงใจที่เป็นรูปธรรม โดยมอบผลลัพธ์ทางการเงินหรือต้นทุนทางการเงินที่ต่ำกว่า เช่น สินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษ เป็นต้น ให้กับโครงการที่สอดคล้องกับกิจกรรม "สีเขียว" และ "สีเหลือง" ตามที่กำหนดไว้ใน Taxonomy

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า Thailand Taxonomy เป็นมากกว่าระบบการจำแนกประเภททางเทคนิคหรือภาระในการปฏิบัติตามกฎระเบียบ แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการประเมินความเสี่ยง ระบุโอกาส และจัดสรรเงินทุนเพื่อสร้างมูลค่าในระยะยาว ธุรกิจที่บูรณาการ Taxonomy เข้ากับการวางแผนกลยุทธ์อย่างจริงจังไม่เพียงแต่จะช่วยลดความเสี่ยงในช่วงเปลี่ยนผ่าน แต่ยังปลดล็อกความได้เปรียบในการแข่งขันที่สำคัญอีกด้วย ในทางกลับกัน องค์กรที่มองว่า Taxonomy เป็นเพียงการรายงานข้อมูลเสริม อาจเสี่ยงต่อการถูกทิ้งไว้ข้างหลัง โดยต้องเผชิญกับต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นและความเกี่ยวข้องในตลาดที่ลดลง

 


 

เมื่อเราเข้าใจกติกาและเครื่องมือสนับสนุนทั้งหมดแล้ว คำถามสำคัญถัดมาคือ

.
กฎใหม่เหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อแต่ละอุตสาหกรรมอย่างไร
และผู้บริหารควรวางกลยุทธ์รับมือแบบไหนเพื่อพลิกความท้าทายให้เป็นโอกาสในการลงทุน ?”

.


แหล่งข้อมูลอ้างอิง (References)

Borghesi, S., & Montini, M. (2023). The Market Stability Reserve in the EU Emissions Trading System: A Critical Review. Annual Review of Resource Economics, 15, 131–152.  

Clifford Chance. (2024, June). Singapore Carbon Initiatives: Introduction to Carbon Markets.  

Cornago, E. (2025, July 24). The EU Emissions Trading System in a larger EU. Centre for European Reform.  

Department of Climate Change and Environment. (2024, June). สรุปสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ..... Ministry of Natural Resources and Environment. https://www.dcce.go.th/wp-content/uploads/2024/06/สรุปสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ-พ.ศ.-1-1.pdf  

Energy News Center. (2025, July 22). ครม. เห็นชอบภาษีคาร์บอน 200 บาทต่อตันฯ ยืนยันไม่กระทบราคาน้ำมันประชาชน. Energy News Center. https://www.energynewscenter.com/%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%A1-%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%99-200/  

Enviliance. (2025, May 27). Thailand Taxonomy Phase 2. https://enviliance.com/regions/southeast-asia/th/report_13917

European Commission. (2025, May 28). Market Stability Reserve under the EU Emissions Trading System to reduce auction volume by 276 million allowances between September 2025 and August 2026. https://climate.ec.europa.eu/news-your-voice/news/market-stability-reserve-under-eu-emissions-trading-system-reduce-auction-volume-276-million-2025-05-28_en  

Infoquest. (2025, January 21). ครม.ไฟเขียวหลักการ "ภาษีคาร์บอน" 200 บาท/ตัน หนุนเศรษฐกิจสีเขียว ยันไม่กระทบราคาน้ำมัน. https://www.infoquest.co.th/2025/463041  

International Carbon Action Partnership. (2024, May). ETS Detailed Information: Thailand. https://icapcarbonaction.com/en/ets/thailand  

International Carbon Action Partnership. (2025). Thailand. https://icapcarbonaction.com/en/ets-pdf-download/81  

Japan Climate Leaders' Partnership. (2022, November 1). JCLP Statement on Growth-oriented Carbon Pricing. https://japan-clp.jp/wp-content/uploads/2022/11/221101_JCLP_CP-statement_ENG.pdf  

Kasikorn Research Center. (2024, June 18). Thailand plans to levy carbon tax before implementing the Climate Change Act. https://www.kasikornresearch.com/en/analysis/k-social-media/Pages/SBU312-FB-2024-06-18.aspx

Kim, J. (2021). Case Study on the Korean Emissions Trading Scheme. Umweltbundesamt. https://www.umweltbundesamt.de/sites/default/files/medien/5750/publikationen/2021-05-19_cc_36-2021_case_study_korea.pdf  

Lee, J., & Zin, S. (2022). Korean Power System: Challenges and Opportunities. Lawrence Berkeley National Laboratory. https://eta-publications.lbl.gov/sites/default/files/korean_power_system_challenges_and_opportunities.pdf  

Ministry of Economy, Trade and Industry. (2023). Growth-oriented Carbon Pricing Scheme. https://www.enecho.meti.go.jp/en/category/special/article/detail_179.html  

Ministry of Social and Family Development. (2025). Frequently Asked Questions. https://www.mse.gov.sg/resources/faq  

National Center for Climate Change Strategy and International Cooperation. (2025). Carbon Tax. https://www.nccs.gov.sg/singapores-climate-action/mitigation-efforts/carbontax/  

Nomura Research Institute. (2023). Outline of the GX Promotion Act. https://www.nri.com/content/900013173.pdf  

Policy Watch. (2025, May 31). กรมอุตุนิยมวิทยา เปิดฟังความเห็นร่าง พ.ร.บ.อุตุนิยมวิทยา ผ่านทางออนไลน์ 30 วัน. Thai PBS. https://policywatch.thaipbs.or.th/article/environment-113  

Renewable Energy Institute. (2025, June 5). Japan's GX-ETS: Will it be effective?. https://www.renewable-ei.org/en/activities/column/REupdate/20250605.php  

The Standard. (2025). ไทยเตรียมเก็บ ‘ภาษีคาร์บอน’ 200 บาทต่อตัน เริ่มปี 68 ยันไม่กระทบราคาขายปลีก. https://thestandard.co/thai-carbon-tax/  

Thai-German Cooperation. (2025). GIZ supports the initiation of Thailand Taxonomy Phase 2. https://www.thai-german-cooperation.info/en_US/giz-supports-the-initiation-of-thailand-taxonomy-phase-2/  

Thai PBS News. (2025, January 20). ครม.ไฟเขียว “ภาษีคาร์บอน” 200 บาท/ตัน หนุนไทยสู่ Net Zero. https://www.thaipbs.or.th/news/content/348397  

Tilleke & Gibbins. (2025, March). Thailand’s Draft Climate Change Act: Key Business Considerations. https://www.tilleke.com/insights/thailands-draft-climate-change-act-key-business-considerations/3/  

UNFCCC. (2024). Singapore's First Biennial Transparency Report. https://unfccc.int/sites/default/files/resource/Singapore%20BTR1%202024.pdf  

 

 

 


บทความเพิ่มเติม

📍ทุกเส้นทางมุ่งหน้าสู่ Net Zero: ธุรกิจไทยจะก้าวไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร?

👉 Click เพื่ออ่านบทความ

📍ESG ซ่อนอยู่ตรงไหนในงบการเงิน

👉 Click เพื่ออ่านบทความ

 

📍คัดหุ้นนอกยังไง เมื่อสถานการณ์โลกสุดปั่นป่วน

👉 Click เพื่ออ่านบทความ

 

📍AI ช่วยยกระดับการจัดการข้อมูลด้านความยั่งยืน: เตรียมความพร้อมองค์กรสู่ Net Zero ด้วย ESG Management Platform

👉 Click เพื่ออ่านบทความ

📍การเปิดเผยข้อมูลและการทำรายงานด้านความยั่งยืนที่ ‘น่าเชื่อถือ’ กับความเชื่อมั่นในภาคตลาดทุนไทย

👉 Click เพื่ออ่านบทความ

📍คาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร (CFO): จุดเริ่มต้นธุรกิจไทย เตรียมรับมือ EU CBAM และ CSRD

👉 Click เพื่ออ่านบทความ

📍Scope 3 Emissions คืออะไร? แนวทางจัดการสำหรับธุรกิจไทยเพื่อความได้เปรียบทางการแข่งขัน

👉 Click เพื่ออ่านบทความ

📍การดูแลพนักงานไม่ใช่แค่ “ค่าใช้จ่าย” แต่คือการลงทุนใน “สินทรัพย์ที่มีคุณภาพ”

👉 Click เพื่ออ่านบทความ

📍(ร่าง) พ.ร.บ. Climate Change, Carbon Tax และ TH-ETS กำลังจะมา: พลิกกฎเกมธุรกิจไทยสู่ความได้เปรียบในเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

👉 Click เพื่ออ่านบทความ