Topic
เป้าการลดก๊าซเรือนกระจกของไทย และการปรับตัวของภาคธุรกิจ สู่ Net Zero 2050
![]()
เป้าการลดก๊าซเรือนกระจกของไทย และการปรับตัวของภาคธุรกิจ สู่ Net Zero 2050
โดยฝ่ายพัฒนาบริการด้านความยั่งยืน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
การประชุม COP30 ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2025 ที่ผ่านมา เป็นมากกว่าเวทีเจรจา แต่เป็นหมุดหมายสำคัญ โดยเฉพาะการที่ทุกประเทศสมาชิกมีกำหนดส่งแผนการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contributions: NDC) ฉบับใหม่พร้อมเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกปี ค.ศ. 2035[1] เนื่องจาก การดำเนินการตามเป้าหมายเดิม (ค.ศ. 2030) อาจยังไม่เพียงพอให้สามารถรักษาอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้เพิ่มขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียสได้ ประเทศไทยเองจึงได้ปรับเป้าหมายประเทศให้สอดคล้องกับกระแสโลกไปด้วย นอกจากนี้ อีกหนึ่งประเด็นที่น่าจับตามอง คือ การเข้าถึงเป้าหมายการเงินใหม่ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นแรงกระเพื่อมสำคัญที่ภาคธุรกิจไทยไม่ควรมองข้ามเพราะอาจนำไปสู่การสูญเสียโอกาสทางธุรกิจที่กำลังจะเกิดขึ้น
การยกระดับความเร่งด่วนของเป้าหมายระดับชาติ
ประเทศไทยมีการยกระดับเป้าหมายให้เร็วขึ้น โดยตั้งเป้าการลดก๊าซเรือนกระจกลง 47% ภายในปี ค.ศ. 2035 และขยับเป้าการบรรลุ Net Zero เข้ามาเป็นภายในปี ค.ศ. 2050 จากเดิมที่มีการตั้งเป้าหมายไว้ในปี ค.ศ. 2065[2] การปรับเปลี่ยนครั้งสำคัญนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการร่วมแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และยังเป็นเสมือน "การชี้นำทิศทาง" ให้ภาคธุรกิจไทยเห็นความสำคัญที่ต้องเร่งปรับตัวให้รวดเร็วและเข้มข้นกว่าเดิม
การปรับตัวของภาคธุรกิจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในสถานการณ์นี้ โดยเฉพาะองค์กรที่เคยตั้งเป้าหมายทอ้างอิงกับเป้าหมายเดิมของประเทศ ภาคธุรกิจจึงจำเป็นต้องทบทวนและปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับทิศทางของประเทศเพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก ไม่ว่าจะเป็นมุมของการดำเนินธุรกิจที่อาจไม่ได้รับการยอมรับจากคู่ค้า หรือการถูกคัดออกจากรายชื่อหุ้นของดัชนีหรือกองทุนที่ใช้ประเด็นเรื่อง Climate Change เป็นเกณฑ์พิจารณา การปรับตัวนี้จำเป็นต้องครอบคลุมทั้งด้านการดำเนินงาน การลงทุนในเทคโนโลยีสะอาด และการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
องค์กรธุรกิจควรเริ่มต้นจากการประเมินผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อการดำเนินธุรกิจ ทั้งในแง่ของความเสี่ยงและโอกาส การวิเคราะห์ห่วงโซ่อุปทานเพื่อระบุจุดที่ต้องปรับปรุง การพัฒนาแผนงานระยะยาวที่มีเป้าหมายชัดเจนในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งองค์กรควรติดตามและประเมินผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยอาจพิจารณาลงทุนในระบบพลังงานสะอาด เช่น การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ภายในพื้นที่องค์กร หรือปรับเปลี่ยนกระบวนการทางธุรกิจให้ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การดำเนินการเหล่านี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้

สัญญาณเงินทุน จากเป้าหมายใหม่ของการเงินเพื่อสภาพภูมิอากาศ – ความพร้อมคือประตูสู่โอกาส
เป้าหมายการเงินใหม่ (New Collective Quantified Goal; NCQG)[3] ซึ่งเข้ามาแทนที่เป้าหมายเดิมที่แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นั้น ได้กำหนดให้ประเทศพัฒนาแล้วเป็นผู้นำในการจัดหาเงินทุนเพื่อสนับสนุนการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศในประเทศกำลังพัฒนา โดยมีเม็ดเงินรวมสูงถึง 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี ภายในปี ค.ศ. 2035
นอกจากนี้ บทสรุปของ COP30[4] ยังเพิ่มเป้าหมาย Adaptation finance ขึ้น 3 เท่าจากระดับเดิม คิดเป็นมูลค่าประมาณ
1.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี ค.ศ. 2035 เพื่อช่วยให้ประเทศกำลังพัฒนารับมือกับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้นได้ ซึ่งประเทศไทยในฐานะประเทศกำลังพัฒนามีสิทธิ์ในการเข้าถึงเงินส่วนนี้ โดยเฉพาะในโครงการที่เกี่ยวข้องกับการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตพลังงานสะอาด และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
การเข้าถึงแหล่งเงินทุนเหล่านี้จะเป็นโอกาสสำคัญสำหรับองค์กรที่มีการเตรียมความพร้อมที่ดี มีแผนงานที่ชัดเจน และมีความโปร่งใสในการดำเนินงาน ทำให้สามารถมีเงินทุนไปหนุนการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศของตน และยังสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียว่าองค์กรมีการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนอีกด้วย
การปรับตัวและเปิดเผยข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ไม่ใช่แค่เรื่อง "ภาพลักษณ์" หรือ "ตามกระแส" อีกต่อไป
หากธุรกิจต้องการจะอยู่รอดในโลกของการเปลี่ยนแปลง การปรับตัวอย่างจริงจังเป็นเรื่องสำคัญ โดยควรเริ่มตั้งแต่การทำความเข้าใจถึงความเสี่ยงและโอกาสจากวิกฤตโลกร้อนด้วยข้อมูลที่แม่นยำ การมีข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนจะช่วยให้สามารถวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์และสามารถป้องกันภัยพิบัติได้ทันท่วงที ปัจจุบันผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเริ่มต้องการเห็นการเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น นักลงทุนอยากได้ข้อมูลไปพิจารณาความเสี่ยงของธุรกิจประกอบการตัดสินใจลงทุน หน่วยงานกำกับดูแลก็ต้องการนำข้อมูลไปใช้ประกอบการวางแผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ ภาคธุรกิจจึงจำเป็นต้องมีกระบวนการจัดการข้อมูลอย่างจริงจังและเปิดเผยอย่างโปร่งใส
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ในฐานะตัวกลางในตลาดทุน ได้พัฒนาแผนงานที่จะมีส่วนช่วยให้ภาคธุรกิจปรับตัวได้ดีขึ้น โดยเครื่องมือที่ได้เริ่มเปิดให้บริการแล้วคือ SETCarbon แพลตฟอร์มจัดการข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแบบครบวงจร ตั้งแต่การจัดเก็บ การคำนวณ ไปจนถึงการทวนสอบข้อมูล และในอนาคต เมื่อตลาดคาร์บอนภาคบังคับมีผลบังคับใช้ตามร่าง พรบ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศฯ[5] ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะให้บริการแพลตฟอร์มซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อให้ธุรกิจไทยมีเครื่องมือที่เพียงพอในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้
การเปลี่ยนแปลงสู่ Net Zero ค.ศ. 2050 เป็นการเดินทางระยะยาวที่ต้องอาศัยความมุ่งมั่น การวางแผนที่รอบคอบ และการลงมือทำอย่างจริงจัง องค์กรธุรกิจต้องพร้อมปรับตัวอย่างต่อเนื่องตามสถานการณ์และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป การติดตามและประเมินผลการดำเนินงานอย่างสม่ำเสมอ การปรับปรุงกลยุทธ์และแผนงานให้สอดคล้องกับความท้าทายใหม่ๆ และการรักษาความสมดุลระหว่างการเติบโตทางธุรกิจกับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม จะเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดความสำเร็จในการบรรลุเป้าหมาย Net Zero ขององค์กรและประเทศในที่สุด
[1] เหตุผลของการตั้งเป้าหมาย NDC ใหม่เพื่อรักษาอุณภูมิเฉลี่ยของโลกให้อยู่ที่ 1.5 องศา อ้างอิงจาก: https://climateanalytics.org/publications/why-stronger-2030-targets-along-with-1.5-c-aligned-2035-targets-are-essential
[2] การประกาศสัตยาบันของประเทศไทยใน COP 26 เรื่องเป้าหมายการบรรลุ NET Zero ปี ค.ศ. 2065 อ้างอิงจาก: https://www.mfa.go.th/en/content/cop26-glasgow?page=5d5bd3cb15e39c306002a9ac&menu=5d5bd3cb15e39c306002a9ad
[3] รายละเอียดเป้าหมายทางการเงินใหม่ ที่มีการประกาศในการประชุม COP 30 อ้างอิงจาก: https://unfccc.int/NCQG
[4] เอกสารการประชุมภาคีสมัยที่ 7 (CMA 7) ภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในการประชุม COP 30 อ้างอิงจาก: https://unfccc.int/sites/default/files/resource/cma7_2c_Mutirao_auv.pdf
[5] เอกสารร่าง พรบ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม อ้างอิงจาก:
https://www.dcce.go.th/wp-content/uploads/2024/06/ร่างพ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ-พ.ศ.-.-รับฟังความคิดเห็นครั้งที่-2.pdf
บทความเพิ่มเติม
|
📍ทุกเส้นทางมุ่งหน้าสู่ Net Zero: ธุรกิจไทยจะก้าวไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร? 📍ESG ซ่อนอยู่ตรงไหนในงบการเงิน 📍คัดหุ้นนอกยังไง เมื่อสถานการณ์โลกสุดปั่นป่วน |
|
📍AI ช่วยยกระดับการจัดการข้อมูลด้านความยั่งยืน: เตรียมความพร้อมองค์กรสู่ Net Zero ด้วย ESG Management Platform 📍การเปิดเผยข้อมูลและการทำรายงานด้านความยั่งยืนที่ ‘น่าเชื่อถือ’ กับความเชื่อมั่นในภาคตลาดทุนไทย 📍คาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร (CFO): จุดเริ่มต้นธุรกิจไทย เตรียมรับมือ EU CBAM และ CSRD |
|
📍Scope 3 Emissions คืออะไร? แนวทางจัดการสำหรับธุรกิจไทยเพื่อความได้เปรียบทางการแข่งขัน 📍การดูแลพนักงานไม่ใช่แค่ “ค่าใช้จ่าย” แต่คือการลงทุนใน “สินทรัพย์ที่มีคุณภาพ” 📍(ร่าง) พ.ร.บ. Climate Change, Carbon Tax และ TH-ETS กำลังจะมา: พลิกกฎเกมธุรกิจไทยสู่ความได้เปรียบในเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ |
|
📍Climate Risk และ Scenario Analysis: แนวทางบริหารความเสี่ยงธุรกิจไทย 📍พลิกเกมลงทุน ส่องโอกาสทำกำไรจาก 8 อุตสาหกรรมในเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ |
|
📍EUDR: ทางรอดเกษตรกรไทยและห่วงโซ่อุปทาน ยางพารา ปาล์ม กาแฟ 📍Super-aged Society ผลกระทบ โอกาส และแนวทางปรับตัวของธุรกิจไทย 📍ก้าวข้ามความท้าทายของ Thailand Taxonomy เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจไทยสู่ความยั่งยืน |
|
📍พลิกความเสี่ยง คว้าโอกาสลงทุนด้วยเข็มทิศ ESG 📍ธุรกิจ Start-up ที่มีโครงสร้าง Corporate Governance ที่แข็งแรง จะเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน 📍Food Waste: จากต้นทุนที่มองไม่เห็น สู่โอกาสทางธุรกิจในเศรษฐกิจหมุนเวียนสำหรับ MSMEs |
|
📍องค์กรจะรอดหรือไม่...วัดกันที่บอร์ดบริหารเข้าใจและกำกับดูแล ESG จริงจังแค่ไหน 📍พลิกหนี้เป็นกำไรด้วย ESG...กลยุทธ์ลงทุน (CapEx) เพื่อหั่นต้นทุน (OpEx) และเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ 📍เมื่อสิ่งที่ "ควรรับมือได้" กลับสร้าง "ความเสียหายฉับพลัน": พลิกวิกฤตความเสี่ยงทางกายภาพ สู่ความยั่งยืนของธุรกิจ |
|
📍Financial Materiality of Human Capital: เมื่อ Gen Z กลายเป็นตัวแปรทางเศรษฐศาสตร์ที่ตลาดทุนทั่วโลกกำลังจับตามอง 📍เป้าการลดก๊าซเรือนกระจกของไทย และการปรับตัวของภาคธุรกิจ สู่ Net Zero 2050 ![]()
|
