Topic
การดูแลพนักงานไม่ใช่แค่ “ค่าใช้จ่าย” แต่คือการลงทุนใน “สินทรัพย์ที่มีคุณภาพ”
การดูแลพนักงานไม่ใช่แค่ “ค่าใช้จ่าย” แต่คือการลงทุนใน “สินทรัพย์ที่มีคุณภาพ”
โดย ฝ่ายพัฒนาการลงทุนอย่างยั่งยืน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
Highlights:
- บริษัทที่ให้ความสำคัญกับการดูแลพนักงานมีแนวโน้มที่จะมีผลตอบแทนจากสินทรัพย์ และกำไรสูงกว่าบริษัททั่วไป
- ความสุขของพนักงานช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดยเฉพาะธุรกิจที่ต้องอาศัยแรงงานเป็นหลัก
เช่น อุตสาหกรรมการผลิต ธุรกิจค้าปลีก และธุรกิจบริการ เป็นต้น - นักลงทุนควรประเมินปัจจัยด้านสังคม เช่น ข้อมูลอัตราการลาออก (Turnover Rate) ความผูกพันของพนักงานในองค์กร (Employee Engagement) และความหลากหลาย (Diversity) ควบคู่กับข้อมูลทางการเงิน เพื่อประเมินความเสี่ยงจากการลงทุน และช่วยให้เข้าใจธุรกิจได้มากยิ่งขึ้น
พนักงานเป็นกุญแจสู่ความยั่งยืนขององค์กร
ในโลกธุรกิจยุคใหม่ องค์กรไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีหรือเงินทุนเพียงเท่านั้น แต่กำลังสำคัญคือ “ผู้คน” ที่อยู่เบื้องหลังการดำเนินงานและร่วมมือกันขับเคลื่อนธุรกิจ
แล้วทำไมการดูแลสวัสดิภาพพนักงานถึงส่งผลดีต่อองค์กร
เหตุผลหลักก็คือ การใส่ใจพนักงานไม่ใช่ “ต้นทุน” แต่คือการ “ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพ” ให้ผลตอบแทนในระยะยาว บริษัทที่ดูแลพนักงานได้ดีมักมีทีมที่แข็งแกร่ง มีประสิทธิภาพสูง และสามารถรักษาคนเก่งไว้ในองค์กรได้นาน ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนสะท้อนกลับไปที่ผลประกอบการและความมั่นคงของบริษัท เพราะ “ค่าใช้จ่ายในการหาพนักงานใหม่ มีค่าใช้จ่ายแฝงสูงกว่าที่คิด” สถาบันวิจัยและสำรวจความคิดเห็น Gallup เปิดเผยว่า การเปลี่ยนพนักงานในตำแหน่งผู้จัดการมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 200% ของเงินเดือน ซึ่งยังไม่รวมค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการฝึกอบรมพนักงานใหม่ และความเสี่ยงจากการที่ไม่สามารถหาพนักงานที่เหมาะสมมาทดแทนได้
ประโยชน์ที่บริษัทได้รับ ถ้าดูแลและจูงใจให้พนักงานอยู่กับองค์กรได้นานขึ้น
- มีแนวโน้มในการสร้างผลประกอบการที่ดีให้แก่บริษัท: จากผลการวิจัยของบริษัทซอฟต์แวร์ระดับโลกสัญชาติเยอรมัน (SAP SE) เปิดเผยว่า หากอัตราการรักษาพนักงาน (Employee Retention) หรือ อัตราการลาออกของพนักงาน (Turnover Rate) เปลี่ยนแปลงทุก 1% จะส่งผลต่อกำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit) ของบริษัทมากถึง 43.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสาเหตุหลักที่ช่วยให้ผลกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น เพราะพนักงานที่มีความผูกพันกับบริษัทมีแนวโน้มในการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น มีความกระตือรือร้นตั้งใจทำงานและอยู่กับองค์กรนานขึ้น
- ช่วยลดอัตราการลาออก เช่น
- บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) (XO) เคยประสบปัญหาการลาออกสูงถึง 50% แต่เมื่อให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรบุคคลและสวัสดิภาพพนักงานอย่างต่อเนื่อง เช่น ชั่วโมงการทำงานที่ยืดหยุ่น สวัสดิการที่พนักงานเลือกได้ เพิ่มวันลาพิเศษเพื่อดูแลคู่ชีวิต ไปจนถึงสิทธิการได้รับหุ้น เป็นต้น ทำให้ปัจจุบันบริษัทสามารถลดอัตราการลาออกเหลือเพียง 3% เท่านั้น
- บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC) เน้นการพัฒนาบุคลากร โดยพนักงานทุกคนจะได้รับการฝึกอบรมพัฒนาทักษะโดยเฉลี่ย 33.7 ชั่วโมงต่อคนต่อปี นอกจากนี้ยังมีการมอบสวัสดิการเพิ่มคุณภาพชีวิตให้แก่พนักงาน เช่น มีบริการศูนย์ดูแลเด็กเล็ก สวัสดิการสุขภาพ และวันลาคลอด 90 วันแบบได้รับเงินเดือน เป็นต้น ซึ่งผลลัพธ์คือ อัตราการลาออกในปี 2566 คิดเป็น 5.43% ลดลงจาก 6.31% ในปี 2563
- บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) (CPN) ให้ความสำคัญกับสวัสดิการพนักงานในทุกด้าน มีการจัดโครงการส่งเสริมสุขภาพให้พนักงาน ทั้งการออกกำลังกาย บริการนวดบำบัดในที่ทำงาน รวมถึงจัดพื้นที่ให้พนักงานได้ใช้ประโยชน์ เช่น ห้องให้นมบุตร ห้องละหมาด ห้องฟิตเนส และมีการมอบประกันสุขภาพแบบกลุ่มที่ครอบคลุมการรักษาโรคออฟฟิศซินโดรม การปรึกษาสุขภาพจิตของพนักงาน ทำให้พนักงานมีความผูกพันต่อองค์กรสูงถึง 81% อัตราการลาออกลดลง และพนักงานยินดีแนะนำให้คนรู้จักมาทำงานด้วยกันสูงถึง 84%
-
เพิ่มโอกาสได้ร่วมงานกับคนที่มีความสามารถมากขึ้น: จากผลการศึกษาของ Deloitte Thailand (2024) ระบุว่า 55% ของ GenZ และ 57% ของ GenY ในไทย มีแนวโน้มเลือกทำงานในองค์กรที่มีความสมดุลระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิตส่วนตัว (Work Life Balance) และมีนายจ้างที่เปิดโอกาสให้พนักงานได้เรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ
ดังนั้นการดูแลพนักงานจึงไม่ใช่แค่ความรับผิดชอบต่อสังคม แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงทางกฎหมาย เช่น ข้อพิพาทแรงงาน หรือการฟ้องร้องเกี่ยวกับสิทธิและสวัสดิการ และยังช่วยปกป้องชื่อเสียงองค์กรจากข้อโต้แย้งด้านจริยธรรม ซึ่งอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในระยะยาว หลายองค์กรชั้นนำระดับโลกได้พิสูจน์แล้วว่า การให้ความสำคัญกับพนักงานไม่ใช่แค่ “สิ่งที่บริษัทต้องทำ” แต่คือ “กลยุทธ์” โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้องค์กรประสบความสำเร็จ เช่น
- Microsoft (MSFT) จัดทำแบบสำรวจ “Employee Signals” เป็นประจำทุกปี เพื่อประเมินความผูกพันและความเป็นอยู่ของพนักงาน พร้อมผลักดันวัฒนธรรมองค์กรที่ครอบคลุมและหลากหลาย โดยเฉพาะกลุ่มพนักงานสตรี คนพิการ และ LGBTQ+ เพื่อให้พนักงานทุกคนมีส่วนร่วมและสามารถเติบโตได้ในองค์กร
- Unilever (ULVR) ได้นำระบบวิเคราะห์บุคลากร (People Analytics) มาใช้เพื่อติดตามความรู้สึกและการมีส่วนร่วมของพนักงานกว่า 22,000 คน ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ และเป้าหมายชีวิต ซึ่งช่วยให้ทีมสนับสนุนซึ่งกันและกันได้ดีขึ้น
นักลงทุนจะรู้ได้อย่างไรว่าบริษัทไหนที่ดูแลพนักงานได้ดี
สำหรับมุมมองผู้ลงทุนนั้น การวิเคราะห์ ESG ของหุ้นควรเจาะลึกถึงแนวปฏิบัติด้านพนักงาน ควบคู่ไปกับปัจจัยอื่น ๆ ซึ่งสามารถดูได้จากรายงาน 56-1 One Report โดยนักลงทุนสามารถตรวจสอบข้อมูลรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพนักงานได้ที่หัวข้อ “การขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อความยั่งยืน” โดยควรตรวจสอบตัวเลขสำคัญในรายงาน เช่น
- อัตราการลาออก (Turnover Rate): อัตราการลาออกที่สูงอาจบ่งชี้ถึงปัญหาภายในองค์กร เช่น ความไม่พึงพอใจในงาน หรือสภาพแวดล้อมการทำงานที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพและต้นทุนขององค์กร เป็นต้น
- ความผูกพันของพนักงานในองค์กร (Employee Engagement): พนักงานที่มีความผูกพันสูง มักจะแสดงออกถึงความกระตือรือร้นและมีผลงานที่ดี หากตัวเลขนี้สูงอาจสะท้อนถึงความสามารถในการรักษาพนักงานไว้ในองค์กรและความสามารถในการสร้างการเติบโตของธุรกิจได้เช่นกัน
- ความหลากหลาย (Diversity): องค์กรที่มีความหลากหลายมักจะมีความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนาและต่อยอดนวัตกรรมใหม่ ๆ มากขึ้น เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและโอกาสทางธุรกิจ
“การดูแลพนักงาน” คือปัจจัยสำคัญด้าน ESG ที่ส่งผลโดยตรงต่อความสำเร็จของธุรกิจ บริษัทที่ดูแลพนักงานดีมักรักษาความสามารถในการแข่งขัน มีอัตราการลาออกต่ำ ลดต้นทุน และเสริมความมั่นคงขององค์กรในระยะยาว ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพในการเติบโตและความน่าเชื่อถือในสายตานักลงทุน ในทางตรงข้าม บริษัทที่ละเลยมิติด้านสังคมอาจเผชิญต้นทุนแฝง ความเสี่ยง และค่าใช้จ่ายในการจัดหาบุคลากรที่เพิ่มขึ้นในระยะยาว เพราะการดูแลพนักงาน ไม่ใช่ค่าใช้จ่าย แต่หากพิจารณาให้ดี คือการลงทุนใน “สินทรัพย์ที่มีคุณภาพ” ที่ชี้อนาคตของบริษัทและผลตอบแทนของนักลงทุน
ท่านสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ESG ได้ที่: SET ESG Academy (Website) (Line)
หมายเหตุ: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลสำหรับการศึกษาในเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน
บทความเพิ่มเติม
📍ทุกเส้นทางมุ่งหน้าสู่ Net Zero: ธุรกิจไทยจะก้าวไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร? |
📍AI ช่วยยกระดับการจัดการข้อมูลด้านความยั่งยืน: เตรียมความพร้อมองค์กรสู่ Net Zero ด้วย ESG Management Platform 📍การเปิดเผยข้อมูลและการทำรายงานด้านความยั่งยืนที่ ‘น่าเชื่อถือ’ กับความเชื่อมั่นในภาคตลาดทุนไทย 📍คาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร (CFO): จุดเริ่มต้นธุรกิจไทย เตรียมรับมือ EU CBAM และ CSRD |
📍Scope 3 Emissions คืออะไร? แนวทางจัดการสำหรับธุรกิจไทยเพื่อความได้เปรียบทางการแข่งขัน 📍การดูแลพนักงานไม่ใช่แค่ “ค่าใช้จ่าย” แต่คือการลงทุนใน “สินทรัพย์ที่มีคุณภาพ” 📍(ร่าง) พ.ร.บ. Climate Change, Carbon Tax และ TH-ETS กำลังจะมา: พลิกกฎเกมธุรกิจไทยสู่ความได้เปรียบในเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
|